เขตสายไหม/ บ้านประชารัฐริมคลองคืบหน้า พล.ต.อ.อดุลย์ รัฐมนตรี พม.เป็นประธานยกเสาเอกสร้างบ้านสหกรณ์เคหสถานริมคลองสองฯ เขตสายไหม 356 ครัวเรือน เตรียมสร้างเฟสแรก 120 หลัง ใช้งบทั้งหมดกว่า 180 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2561 ขณะที่ พอช.เตรียมยก 3 ชุมชนริมคลองที่สร้างบ้านเสร็จไปแล้วเป็นชุมชนต้นแบบ พัฒนาคุณภาพชีวิตครบวงจร ตามที่รัฐบาลมีนโยบายป้องกันน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ โดยมอบหมายให้กรุงเทพมหานครสร้างเขื่อนระบายน้ำคอนกรีตในคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อเพื่อป้องกันน้ำท่วม และให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดทำแผนงานพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองตามโครงการ “บ้านประชารัฐริมคลอง” เพื่อรองรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อน โดยรื้อย้ายบ้านออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนฯ เพื่อก่อสร้างบ้านใหม่ในชุมชนเดิม หรือจัดหาที่ดินแปลงใหม่เพื่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ ซึ่งที่ผ่านมา พอช.ดำเนินการไปแล้ว 11 ชุมชน สร้างบ้านเสร็จไปแล้ว 763 ครัวเรือน ล่าสุดวันนี้ (22 มิถุนายน) เวลา 14.00 น. มีการจัดงาน “ยกเสาเอกชุมชนใหม่ สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงริมคลองสอง จำกัด บ้านประชารัฐริมคลอง” บริเวณที่ดินแปลงใหม่ ซอยเพิ่มสิน 13 เขตสายไหม โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เป็นประธานในพิธี มีผู้เข้าร่วม เช่น นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวง พม. นายสมชาติ ภาระสุวรรณ รักษาการ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน นางรัตนธร รัตนสกุล ผู้อำนวยการเขตสายไหม ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเครือข่ายชาวบ้านริมคลองเข้าร่วมงานประมาณ 300 คน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กล่าวว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อยทั่วประเทศ จึงมอบ หมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จัดทำแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้อง ซึ่งจากข้อมูลครัวเรือนทั่วประเทศพบว่า ประเทศไทยมีครัวเรือนทั้งหมดประมาณ 21 ล้านครัวเรือน มีความต้องการที่อยู่อาศัยประมาณ 5 ล้านครัวเรือน ซึ่งกระทรวง พม.ได้มอบหมายให้การเคหะแห่งชาติและสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนจัดทำแผนงานเพื่อรองรับพี่น้องที่มีความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ “การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งในขณะนี้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช. ได้เริ่มดำเนินการแล้วในคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อ ระยะเวลา 3 ปี มีเป้าหมาย 52 ชุมชน จำนวน 7,081 ครัวเรือน ขณะนี้สร้างบ้านเสร็จแล้วจำนวน 763 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะเร่งดำเนินการต่อไป ซึ่งหากพี่น้องให้ความร่วมมือ การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองก็จะประสบความสำเร็จ โดยจะมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาให้การสนับสนุน เป็นโครงการ ‘บ้านประชารัฐริมคลอง’ ดังเช่นที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญที่สร้างเสร็จแล้วทั้งชุมชน สามารถอาศัยอยู่ในชุมชนเดิมได้ โดยเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์เป็นระยะเวลา 30 ปี ส่วนชุมชนใดที่ไม่มีพื้นที่ ต้องรื้อย้ายออกจากชุมชนเดิม สามารถรวมกลุ่มกันไปหาซื้อที่ดิน และจัดตั้งเป็นสหกรณ์เพื่อก่อสร้างชุมชนใหม่ เช่นเดียวกับสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงริมคลองสองที่เกิดจากการรวมตัวกันของพี่น้อง 9 ชุมชน และมีพิธียกเสาเอกในวันนี้” พล.ต.อ.อดุลย์กล่าว นายสังวร มณฑา ประธานสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงริมคลองสอง จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์ฯ เกิดจากการรวมกลุ่มกันของ 9 ชุมชนในเขตสายไหมที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนระบายน้ำของ กทม. และไม่สามารถอยู่อาศัยในชุมชนเดิมได้ แกนนำชุมชนจึงได้ร่วมกันหาซื้อที่ดินแปลงใหม่ ได้ที่ดินบริเวณซอยเพิ่มสิน 13-15 เขตสายไหม ขนาดที่ดิน 12 ไร่ 3 งาน 71.7 ตรว. ราคาที่ดิน 90.3 ล้านบาท โดยใช้สินเชื่อจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สามารถรองรับชาวบ้านได้ทั้งหมด 356 ครัวเรือน “หลังจากมีพิธีลงเสาเอกในวันนี้แล้ว บริษัทรับเหมาจะเริ่มตอกเสาเข็มเพื่อก่อสร้างบ้านเฟสแรกจำนวน 120 หลัง ตามแผนงานจะสร้างบ้านเฟสแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ ส่วนเฟสที่ 2 จำนวน 120 หลัง และเฟสที่ 3 จำนวน 116 หลัง จะดำเนินการต่อไป และจะแล้วเสร็จทั้งหมด 356 หลังภายในปี 2561” ประธานสหกรณ์ฯ กล่าว สำหรับชุมชนทั้ง 9 ชุมชนที่จะปลูกสร้างบ้านในที่ดินใหม่ ประกอบด้วย ชุมชนเลียบคลองสอง 167 ครัวเรือน, ชุมชนประชานุกูล 32 ครัวเรือน, ชุมชนพัฒนาหมู่ 1 45 ครัวเรือน, ชุมชนพัฒนาหมู่ 2 8 ครัวเรือน ,ชุมชนเพิ่มสินถมยา 30 ครัวเรือน, ชุมชนเพิ่มสินร่วมใจ 28 ครัวเรือน, ชุมชน กสบ.หมู่ 5 29 ครัวเรือน, ชุมชนสายไหมพัฒนา 5 ครัวเรือน และชุมชนหลังซอยแอนเน๊กซ์ 12 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้น 356 ครัวเรือน ส่วนแบบบ้านเป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาดบ้าน 4 X 7 ตารางเมตร ราคาบ้าน 212,620 บาท ราคาที่ดิน 253,905 บาท รวมราคาต่อหลัง 466,525 บาท ผ่อนชำระครัวเรือนละ 2,376 บาทต่อเดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี ระยะเวลาชำระคืน 20 ปี ทั้งนี้สถาบันพัฒาองค์กรชุมชนหรือ พอช. สนับสนุนสินเชื่อในการซื้อที่ดินจำนวน 90.3 ล้านบาท และงบก่อสร้างบ้าน รวม 356 หลัง จำนวน 37.3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี นอกจากนี้ยังสนับสนุนการพัฒนาสาธารณูปโภคในชุมชน รวม 17.8 ล้านบาท อุดหนุนที่อยู่อาศัย รวม 8.9 ล้านบาท งบบริหารจัดการ 5% รวม 5 แสนบาท งบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวม 25.6 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณทั้งหมด 180.4 ล้านบาท นายสมชาติ ภาระสุวรรณ รักษาการ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาที่อยู่อาศัยในชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อตามโครงการ “บ้านประชารัฐริมคลอง” พอช.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ระยะเวลา 3 ปี มีเป้าหมายจำนวน 52 ชุมชน รวม 7,081 ครัวเรือน อยู่ใน 5 พื้นที่ คือ พื้นที่สายไหม 12 ชุมชน รวม 1,625 ครัวเรือน, พื้นที่หลักสี่/ดอนเมือง 6 ชุมชน รวม 1,287 ครัวเรือน, พื้นที่บางเขน 8 ชุมชน รวม 1,441 ครัวเรือน พื้นที่จตุจักร 11 ชุมชน รวม 1,241 ครัวเรือน และพื้นที่ห้วยขวาง/วังทองหลาง 15 ชุมชน รวม 1,487 ครัวเรือน “ขณะนี้ พอช.ได้สนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านประชารัฐริมคลองไปแล้ว 11 ชุมชน มีบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว รวม 763 หลัง ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการดำเนินการ สำหรับชุมชนที่สร้างบ้านเสร็จไปแล้ว พอช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะสนับสนุนให้มีการพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อให้เป็นชุมชนต้นแบบในการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง โดยจะมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบครบวงจร เช่น ส่งเสริมกิจกรรมเด็กและเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ มีการส่งเสริมอาชีพเพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน เช่น การจัดเก็บขยะ การบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่คลอง ส่วนชุมชนที่จะพัฒนาให้เป็นชุมชนต้นแบบในช่วงแรกมี 3 ชุมชน คือ ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ ชุมชนพัฒนารุ่นใหม่ และชุมชนเชิงสะพานไม้ 1 โดยจะเริ่มดำเนินงานในเร็วนี้ๆ” นายสมชาติกล่าว ส่วนการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำคอนกรีต ซึ่งบริษัทริเวอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ประมูลงานได้ในวงเงิน 1,645 ล้านบาท ระยะทางทั้ง 2 ฝั่ง รวม 45 กิโลเมตรเศษ เริ่มจากอุโมงค์เขื่อนยักษ์พระราม 9 เขตวังทองหลาง ไปยังประตูระบายน้ำคลองสองสายใต้ เขตสายไหม เพื่อระบายน้ำเข้าสู่อุโมงค์พระราม 9 และอุโมงค์บางซื่อ ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและลงทะเล ขณะนี้ตอกเสาเข็มเพื่อเป็นฐานรากในการสร้างเขื่อนได้แล้วประมาณ 10,000 ต้น จากทั้งหมดจำนวน 60,000 ต้น ซึ่งตามแผนงานบริษัทมีเป้าหมายจะตอกเสาเข็มให้เสร็จทั้งหมดภายในปี 2560 นี้ หลังจากนั้นจึงจะก่อสร้างพนังเขื่อน สันเขื่อน และรั้วเหล็กกันตกให้แล้วเสร็จตามสัญญาภายในเดือนมิถุนายน 2562