เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ " ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงมีความห่วงใยต่อพสกนิกร ในการเตรียมพร้อมรับมือกับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้นะครับในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานราชการ ประชาชน และจิตอาสาต่างๆนะ ครับในการเข้าสำรวจขุดลอกคูคลองและท่อระบายน้ำที่อุดตัน รวมถึงการกำจัดขยะ ผักตบชวา และวัชพืชที่มีอยู่ตามบริเวณคูคลองดังกล่าวนะครับ ในหลายเขตของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ คลองเสือน้อย, คลองบางซื่อ, คลองทุ่ง, คลองกระเฉด, คลองลานโตนด, คลองนาวงประชาพัฒนา, คลองหมอนทอง และคลองตาสุ่ม เพื่อให้สามารถเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วในกรณีฝนตกหนัก และป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง อีกทั้ง ยังส่งผลให้สภาพ แวดล้อมสะอาดขึ้น ไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ของประชาชนในชุมชนใกล้เคียง อีกด้วย ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างล้นพ้น และในการนี้ รัฐบาลและ คสช. ขอรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม ในการสืบสานพระราชดำริ โดยได้ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ในการขยายผล ตามแผนเตรียมการรับมือและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง ออกไปยังพื้นที่ปริมณฑล และจังหวัดต่างๆ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน และชุมชน ให้ดูแลคูคลองสาขา และทางระบายน้ำย่อยๆ ในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบด้วย ควบคู่ไปกับการปฏิบัติของหน่วยงานราชการ ในการเร่งระบายน้ำ และหาวิธีการอื่นๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอุทกภัยให้ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วยครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ, ประเทศชาติของเรา จำเป็นต้องปฏิรูปในหลายมิติเพื่อขับเคลื่อนประเทศ เช่น... 1. ประเด็นความมั่นคง เราต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการเฝ้าระวัง – ช่วยสังเกตสิ่งผิดปกติ, ช่วยเจ้าหน้าที่ในการป้องกันเหตุร้าย ในทุกกรณี ในพื้นที่ของตน เป็นเรื่องของการรักษาความมั่นคงภายใน เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้เป็นสังคมแห่งความสงบสันติ ขณะเดียวกัน เราต้องมีศักยภาพในเรื่องของการป้องกันประเทศ อธิปไตยตามแนวชายแดน, ตลอดจนการรักษาผลประโยชน์และทรัพยากรของประเทศ ทั้งทางบก น้ำ อากาศ ในดินแดน อธิปไตยของเรา ไปพร้อมๆ กันด้วย ทั้งนี้ หากประเทศชาติมั่นคง มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น โดยปริยาย 2. ประเด็นเศรษฐกิจ ต้องกลับไปดูการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย และต่างประเทศ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ว่าเราและเขา มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจที่มีความเหมือน ความแตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร มีการกระจายรายได้ จากบน – กลาง – ฐานราก เพียงพอหรือยัง, มีกลไกเชื่อมโยงถึงกันหรือไม่, เราจะพึ่งพาเพียงระบบราชการอย่างเดียว มันคงไม่เพียงพอนะครับ สิ่งเหล่านี้ ต้องนำมาพิจารณา จากปัญหาพื้นฐานของคนไทยเราก่อนด้วยนะครับ แล้วจึงจะมาดูว่า เราจะแก้ไขทุกระดับ ให้เข้มแข็งได้อย่างไร โดยการเพิ่มพูนความรู้ เทคโนโลยี, เสริมสร้างขีดความสามารถให้เขา ได้อย่างไรนะครับ ซึ่งมันจะเกี่ยวพันไปถึงการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ทั้งในงบประมาณ “งานฟังก์ชั่น” เพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ำ, และ“งบบูรณาการ” เพื่อสร้างความเชื่อมโยง ความเข้มแข็งให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นพื้นที่ เป็นกลุ่มรายได้นะครับ บางกลุ่ม มีรายได้ต่ำเกินไป ไม่ถึง 100 บาทต่อวัน จากการลงทะเบียนของผู้มีรายได้น้อยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็จะมีอาชีพรับจ้าง เกษตรกร อาชีพอิสระ และยังมีหนี้ติดตัวอีกด้วยครับ บางอย่างเราก็ต้องแก้ด้วยกฎหมาย – ด้วยความร่วมมือ “ประชารัฐ” – ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่เราอยากจะมี อยากจะดีขึ้น เราจะต้องเผื่อแผ่แบ่งปันกันได้อย่างไรนะครับ ทำอย่างไร เราจะแก้ปัญหา “วาทะกรรม” ที่พูดกันมาเสมอเรื่องของการเอื้อประโยชน์นายทุน และการปล่อยให้ผูกขาด ให้หมดไปได้บ้าง เรื่องนี้ คงไม่น่าจะใช่ เรื่อง“การแบ่งชนชั้น” ก็ขออย่าสร้างความเข้าใจผิดๆ ให้กับสังคม เราต้องให้เห็นความจริงที่ว่า เป็นเพียงการลงทุน การประกอบ การ ที่ย่อมมีความแตกต่างกัน ได้รับผลประโยชน์ไม่เท่าเทียมกัน ทุนมาก ทำมาก รับความเสี่ยงมาก ก็อาจจะได้มาก สัดส่วนแบ่งก็ต้องพอเพียงในการที่จะดูแลผู้ใช้แรงงานต่างๆ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการประกอบกิจการของท่าน ก็ขอฝากภาคธุรกิจดูแลด้วยนะครับ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของการค้าการลงทุนในโลกเสรี “สัดส่วน” ของผลประโยชน์ ที่นักลงทุนได้รับ ก็ต้องกระจายไปสู่ “ผู้มีส่วนร่วมอื่นๆ”ให้ได้มากที่สุดนะครับ ให้เค้าพอเพียง เช่น แรงงานได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ดูแลสวัสดิการต่างๆเพียงพอหรือไม่ สิทธิมนุษยชนต่างๆ เป็นอย่างไรนะครับ มันจะเกิดประโยชน์ และเกิดการสร้างสรรค์สังคมที่ดีกว่า ขึ้นในอนาคต 3. ประเด็นด้านสังคม เรามีความจำเป็นหรือไม่นะครับที่เราจะต้องทำให้สังคมเรานั้น เป็น “สังคมที่มีคุณภาพ” มีคนที่มีคุณภาพ มีการศึกษาที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน ตลอดจนถึงการประกอบอาชีพ, ที่ต้องมีการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ที่เป็นเหตุเป็นผล, มีหลักคิดที่ถูกต้อง เหมาะสมกับความมีอัตลักษณ์ มีวัฒธรรมอันดีงามของไทย การพัฒนาแบบตะวันตก ตะวันออกต้องผสมกันไปด้วย เมื่อจบการศึกษามาแล้วก็ต้องมีงานทำ ทำงานเป็น และตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับราชการ, หรือเป็นแรงงานในภาคการผลิตต่างๆ ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม หรือภาคท่องเที่ยวและบริการ เราจำเป็นต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น สาขาอาชีพที่ขาดแคลน, ด้าน STEM, นักวิจัยและพัฒนาและอื่นๆอีกจำนวนมาก เพื่อจะรองรับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ที่เน้นการสร้างนวัตกรรม และการให้ความสำคัญกับ “10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย” ที่สำคัญ เราต้องผลิตคน ให้เป็นคนดี มีศีลธรรม – จริยธรรม ทั้งนี้ เมื่อคนในสังคมมี “จิตสำนึกที่ดี” องค์กรก็จะมี “ธรรมาภิบาล” แล้วประเทศชาติก็จะแข็งแรงได้ใน “แบบไทยๆ”นะครับ ในที่สุด เราต้องฝึก “คนไทยยุคใหม่” ให้มีวิสัยทัศน์ คิดล่วงหน้า คิดมีแบบแผน และปฏิบัติงานได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยไม่นิยมความขัดแย้ง ความรุนแรงแต่ยอมรับความเห็นต่าง เพื่อจะแสวงหา “จุดร่วมที่ลงตัว” ร่วมกัน การแก้ไข หรือการดำเนินการใด ก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเด็กแว้น ยกพวกตีกัน โสเภณี ค้ามนุษย์ ผิดกฎหมายอาชญากรรม ต่างๆ เราจะต้องช่วยแก้ไขกันทำให้ได้ ครับ เพื่อทำให้สังคมนั้นเป็นสังคมที่สันติสุข ปัญหาสังคมที่สำคัญที่ทุกคนคงมองเห็นนะครับ ส่วนหนึ่งคือ ความขัดแย้งจากตัวบทกฎหมาย, ความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม, การปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ ที่อาจจะไม่มีประสิทธิภาพบ้างนะครับ, ปัญหาการเมืองระดับชาติ – ระดับท้องถิ่น ที่ไม่ดี ที่ดีๆก็เยอะแยะไป ทุกอย่างมันต้องมีที่ดีและไม่ดีนะครับ เราก็คงจะต้องเลือกทำในสิ่งที่ดี และก็ทำให้ดีมากขึ้น สิ่งที่ไม่ดีก็ต้องพยายามแก้ไขให้หมดไป หรือทำให้ถูกต้อง บางอย่างทำได้เร็ว ทำได้ช้า ค่อยเป็นค่อยไป ก็ต้องไปแยกแยะให้ชัดเจนนะครับ ว่าจะช่วยคิดช่วยกันทำได้อย่างไร ถ้าจะให้รัฐบาลทำเองทั้งหมดเป็นไปไม่ได้เลย เราแก้ไขไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อีก ทุกครั้งทั้งปัญหาเดิมและปัญหาใหม่ เราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายนะครับ ทั้งนี้ ปัญหาสังคมนับเป็นปัญหาสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “ยุคโลกาภิวัฒน์” ในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีส่วนที่ทำให้เป็นสาเหตุให้คนในสังคม “คิดน้อย และก็ทำเร็ว” บางอย่างอาจจะไม่รอบคอบนะครับ มันก็มีทั้งคุณ ทั้งโทษนะครับ ผิดพลาดได้ง่าย บางครั้ง นำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง – ในทางทุจริต – ทำผิดกฎหมาย ซึ่งเราจำเป็นต้องสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับประชาชน – ประเทศชาติ ตาม “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งสร้างการรับรู้เพื่อความเข้าใจและร่วมมือ เมื่อทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ก็จะไม่เกิดการละเมิดสิทธิผู้อื่นและกฎหมาย สังคมก็จะดีขึ้นเองในเรื่องของการที่เราจะทำให้สังคมสงบสุขนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือในเรื่องของการปฏิรูปตนเองทั้งหมดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า ไม่ว่าจะอยู่ใน 1.0 / 2.0 / 3.0 หรือ 4.0 คนของอนาคตก็ต้องทำไปด้วยกันแต่เวลานี้ อย่าไปรอผลิตคนใหม่ และคนเก่าไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นะครับ ต้องเปลี่ยนแปลงพร้อมกันในเวลานี้นะครับ พร้อมกับสร้างคนรุ่นใหม่ไปด้วย 4. ประเด็นด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ไม่ยากเกินความพยายามครับ ถ้าทำคนให้ความสนใจ ใส่ใจ ศึกษา เรียนรู้ ทำความเข้าใจ ติดตามกฎหมายที่ปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัย ดูสิว่าเดิมมันมีปัญหาอะไรอยู่บ้าง กับกฎหมายเดิม บางครั้งก็อาจเป็นการรักษาสิทธิ์ส่วนบุคคลของพวกเรากันเองด้วย ถ้าไม่รู้กฎหมายก็จะไม่รู้ว่าตัวเองได้รับการคุ้มครองอย่างไร ซึ่งโดยหลักการแล้ว กฎหมายทุกกฎหมายย่อมรักษาสิทธิของ “คนส่วนใหญ่” และต้องไม่ลืมที่จะดูแล “คนส่วนน้อย” อีกด้วย ในเวลาเดียวกันนั้นหากทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ว่าจะกฎหมายใหญ่ กฎหมายเล็กน้อยอะไรก็แล้วแต่, การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น กระบวนการยุติธรรมก็จะเป็นที่เชื่อมั่น – ไว้วางใจของประชาชน สังคมก็จะสงบสุข ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ดีมาเรียกรับผลประโยชน์, หากประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ หรือตกเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการทุจริตเสียเองนะครับ อาทิเช่น การเสนอผลตอบแทน, ทุกฝ่ายก็ต้องเป็นหู เป็นตา แจ้งความดำเนินคดี หรือชี้เบาะแสการกระทำผิดกฎหมายที่เราจะต้องคุ้มครองปกป้องให้ด้วยนะครับ, คนทุกระดับเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม อย่างเท่าเทียม, ไม่มีการกล่าวหาว่าเอา “แพะ” เข้ามา ไม่มีการตัดสินคดี โดยปราศจากหลักฐานที่รัดกุม และครบถ้วน, ไม่มีวาทะกรรม “คนจนถูกรังแก คนรวยไม่เคยรับโทษ” หรือ “คุกมีไว้ขังคนจน” มันไม่จริงนะครับ มันอยู่ที่ความชัดเจนของกฎหมายและก็การบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนการเชื่อฟังเคารพกฎหมายของทุกคนด้วยนะครับ สิ่งเหล่านี้ เราต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ รัฐบาลนี้ได้ผลักดัน “กองทุนยุติธรรม” ให้เกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ก็ยังไม่พอ เรา “ทุกคน”นั้นต้องใส่ใจ ด้วยการเอากฎหมายมาดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายประชาชนมาดู มาอ่าน มาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไร ว่าเขาเขียนว่าอย่างไร เจตนารมณ์ของกฎหมายคืออะไร ไม่ใช่เอามาตีความเพื่อจะต่อต้านกันทั้งหมด อะไรผิด อะไรถูก ตามที่กฎหมายกำหนด มันไม่ใช่สิ่งที่ยากเลยนะครับ ถ้าเราจะทำตามกฎหมายง่ายๆเหล่านั้น มันก็ต้องเป็นไปตามหลักสากลอยู่แล้วนะครับ ทุกคนจะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง เป็นการให้ความรู้ซึ่งกันและกัน พูดคุยในสิ่งอันเป็นประโยชน์ สื่อมวลชนนะครับก็ช่วยได้มาก โดยเฉพาะการเสนอข่าว ที่เราจะต้องเน้นการให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องกฎหมายไปด้วย หรือให้ระวังภัยต่างๆ มากกว่าการเล่าเรื่องส่วนตัวของผู้กระทำผิด และครอบครัวต่างที่ลงลึกในรายละเอียดจนเกินไป ไปละเมิดสิทธิมนุษยชนของทั้งในส่วนของผู้ต้องหาหรือในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดดังกล่าวเหล่านั้นด้วยนะครับ สำหรับกระบวนการยุติธรรมนั้น รัฐบาลก็มีส่วนสำคัญ ที่ต้องดูแลให้เดินหน้าได้ตามครรลองของกระบวนที่เป็นสากล เชื่อถือได้ “ผู้ต้องหา” ที่มีฐานะดีสามารถต่อสู้คดีได้ รัฐบาลก็ดูแล “ผู้ถูกกล่าวหาที่ยากจน” รายได้น้อย ให้ได้รับโอกาส ในการต่อสู้คดีได้ด้วย อย่างเท่าเทียมกัน/ แล้วทุกอย่างในกระบวนการยุติธรรม ก็จะได้รับการยอมรับนะครับ 5. ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เราต้องคำนึงถึงความจำเป็นที่ต้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่เหลืออยู่อย่างจำกัด โดยใช้สอยให้คุ้มค่าด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการหามาทดแทนเพื่อไม่ให้ขาดแคลน เช่น การหาแหล่งน้ำ พื้นที่เก็บกักน้ำฝน ทั้งในเขตชลประทาน นอกเขตชลประทาน, การใช้พลังงานทางเลือก รวมทั้ง การปลูกป่าทดแทน การให้คนอยู่ร่วมกับป่า สร้างป่า ดูแลป่า ปลูกป่านะครับ สร้างป่าชุมชน ทำป่าในเมือง ปลูกไม้ยืนต้นในเขตเมืองให้มากขึ้น เหล่านี้เป็นต้น ที่ผ่านมานั้น ทุกคนจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐแต่เพียงผู้เดียว อาจจะถูกมอง ข้าม ปล่อยปละละเลย มาโดยตลอดก็เป็นนโยบายของรัฐบาลนี้ ให้ทุกส่วนราชการ ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุดในเรื่องของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การปลูกต้นไม้ทุกส่วนราชการนะครับ คงไม่ใช่เฉพาะกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือกรมป่าไม้แต่เพียงอย่างเดียว เราต้องมุ่งเน้นการพัฒนาที่คำนึงถึงเรื่อง “ความสมดุล” กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น เราต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ ว่าวันหน้าจะมีทรัพยากรใช้อย่างพอเพียงได้อย่างไร มีเสถียรภาพ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา โดยสามารถลดผลกระทบอื่นๆ เช่น ภาวะโลกร้อน มลภาวะในชุมชน รวมทั้งปัญหาทางสุขภาพของประชาชน เป็นต้น ทั้งนี้ เราคงปฏิเสธการพัฒนาไม่ได้ นะครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบตะวันตกหรือตะวันออกก็ตาม แต่เราสามารถจะเลือก “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ได้ ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม แต่จะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นได้ ตรงนี้ก็ต้องร่วมกันก่อน แสวงหาทางออก สร้างความร่วมมือ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ทุกอย่างย่อมจะดีขึ้นเอง ก็มีผลผลิตทางการเกษตรหลายอย่างด้วยกันนะครับ ที่วันนี้ก็มีปัญหาก็ต้องมาดูสิว่า ดีมานด์กับซัพพลายมันได้หรือไม่ ไปปลูกในพื้นที่บุกรุกเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ผมก็ไม่อยากจะไปโทษผู้มีรายได้น้อยนะครับ แต่ท่านต้องดูว่ามันถูกต้องหรือไม่ในการที่จะขยับขยายการปลูกไปเรื่อยๆ บุกรุกป่าบ้าง อะไรบ้าง แล้วปลูกมาก็ปริมาณมากจนเกินความต้องการของโรงงานต่างๆ แล้วก็มาร้องให้รัฐบาลนั้นช่วยตลอดเวลา มันผิดกฎหมายตั้งแต่ต้นนะครับ แล้วเสร็จแล้วพอบังคับใช้กฎหมายก็กลายเป็นไปรังแกคนจนอีกนะครับ มันเกี่ยวพันกันในหลายๆมิติ เราต้องดูแลกันทั้งด้านสิทธิมนุษยชน, สังคม, เศรษฐกิจ และกฎหมาย ได้แก่ ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องโครงการก่อสร้างต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาต่างๆ อย่างยั่งยืน หลายๆอย่างเป็นนโยบายดีๆ เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในภาพรวม แต่เราเดินหน้าไปไม่ได้เต็มที่มากนัก เป็นเหตุให้เราต้องแตกเป็นโครงการเล็กๆ ทำให้เกิดผลในวงแคบๆ แก้ปัญหาได้ไม่กว้าง ไม่ลึกซึ้ง ไม่ยั่งยืน ทำได้เฉพาะในพื้นที่จำกัด ที่ประชาชนเช้าใจ และยินยอมให้ดำเนินการได้นะครับ ผมไม่ได้หมายความจะไปบังคับท่านนะครับ แต่ท่านต้องมองว่าท่านมาเจอปัญหาที่มันร้ายแรง ที่มันรุนแรง อาทิเช่น น้ำท่วม ฝนแล้งมาโดยตลอด แต่ท่านก็ให้เราทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นมันก็แก้ไม่ได้ทั้งสิ้น ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ ไม่เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง ส่วนรวมก็ไม่ได้รับประโยชน์ ส่วนน้อยอาจจะได้ประโยชน์ แต่ส่วนรวมไม่ได้ประโยชน์ และส่วนน้อยก็ต้องเสียประโยชน์ไปด้วยในภายหลังนะครับ เพราะขัดกับผลประโยชน์ส่วนบุคคล หรือองค์กรเท่านั้น อาทิ การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ แก้มลิง ระบบส่งน้ำ หรือระบบชลประทาน เหล่านี้เป็นต้น บางครั้ง ก็อาจมีการแสวงประโยชน์จากนโยบายทางการเมือง หรือการตีความกฎหมาย ที่ก่อประโยชน์เพียงแต่คนส่วนน้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้อะไรเกิดขึ้น แต่กลับยังคงต้องรับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ฝนแล้ง ปัจจุบัน รัฐบาลให้ความสำคัญในการผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนกับการประกอบธุรกิจ ที่เน้นใน 3 เรื่อง คือ “การคุ้มครอง, การเคารพ และเยียวยา” ท้งนี้เพื่อจะให้ประชาชนนั้นมีความสุข ก็ขอให้ทุกฝ่ายภาคธุรกิจ เอกชน ข้าราชการให้ความสนใจ นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยครับ 6. ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วันนี้ทุกคนทราบดี โลกมีหลายขั้ว หลายกลุ่ม หลายฝ่าย, ยังคงมีความขัดแย้ง และอาจขยายเป็นสงครามได้ตลอดเวลามีทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา ประเทศยากจน ซึ่งแต่ละประเทศ ก็ต้องย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติตน เป็นที่ตั้ง มาก่อนสิ่งอื่นใด แต่เราในฐานะเป็น “ชาวโลก” ก็ต้องคิดด้วยว่า เราจะร่วมมือ สนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างไร รูปแบบไหน เราจะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และต้อง “เข้มแข็งไปด้วยกัน” แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ด้วยความสัมพันธ์ ทั้งทวิภาคี – ไตรภาคี – พหุภาคี ที่อาจเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์”ได้กับหลายๆประเทศ หลายๆมหาอำนาจ เพื่อจะส่งเสริมศักยภาพ – เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ระหว่างกัน โดยเราเอง ก็ต้องพัฒนาตนเองให้เร็ว ให้ทันโลก ให้ก้าวมาอยู่ในบทบาท “ประเทศผู้ให้” โดยเราจะต้องลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศให้ได้ พร้อมกับสนับสนุน ความเชื่อมโยงต่างๆให้เกิดความร่วมมือ ในทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อีกทั้ง ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งอยู่ในความสนใจในเวทีโลก และองค์กรระหว่างประเทศ ที่เราต้องสร้างให้เกิดความร่วมมือใหม่ๆ ในอนาคต เช่น “SEP for SGD 2030” ซึ่งเป็นแนวทางของรัฐบาลนี้ ในการน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปแลกเปลี่ยน – สนับสนุน ประยุกต์ ให้ไปสู่การบรรลุเป้าหมายของ สหประชาชาติ ในอีก 15 ปีข้างหน้า เป็นต้น สำหรับระดับและรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น มีผลอย่างมากต่อการลงทุนในปัจจุบัน และในอนาคต เพราะเรายังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่าง 100%และทุกประเทศต่างก็เป็นเสมือน “เพื่อน” ที่จะช่วยกัน จูงมือกันไปข้างหน้า พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน เราจะต้องรักษาสมดุลกับประเทศเหล่านั้นให้ได้ นะครับ 7. ประเด็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นับว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญลำดับสูงสุด ทุกรัฐบาลต้องให้ความใส่ใจ สนใจ ตั้งแต่เด็กแรกเกิด อนุบาล ประถม มัธยม อาชีวะ หรือตามอัธยาศัยอื่นๆด้วย โดยรัฐบาลนี้ พยายามจัดระบบให้มีความเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ทั้งสถานศึกษา ตลาดแรงงาน ภาคการผลิต เป็นต้น และต้องเป็นการศึกษาที่ใช้งานได้จริง ทั้งในการดำรงชีวิตส่วนตัว – ในครอบครัว – ในสังคม, ไปสู่การประกอบอาชีพการงาน, มีการปลูกฝังอุดมการณ์ – ปลูกฝังจิตสำนึก – สร้างความตระหนักในบทบาท ความรับผิดชอบ ซึ่งมีทั้ง “หน้าที่” ซึ่งต้องมาคู่กับ “สิทธิ” ทั้งนี้ เราต้องสร้าง “คนรุ่นใหม่” พร้อมกับการพัฒนาการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมกับ “คนรุ่นเก่า” ไปด้วย และจะทำอย่างไร เราจะมีบุคลากรที่มีคุณภาพ ทั้งในระบบราชการ – ภาคธุรกิจ – เอกชน รวมทั้งในการประกอบการ SME และ Start-up ด้วย ทั้งนี้ เรายังขาดอีกหลายอย่าง ซึ่งรัฐบาลต้องอำนวยความสะดวกให้กลไก “ประชารัฐ” ขับเคลื่อนไปด้วยกัน – แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะรัฐบาลทำเองไม่ได้ทั้งหมดอย่างที่กราบเรียนไปแล้ว หากไม่มีภาคเอกชน – ภาคประชาชน ก็จะไม่มีพลัง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร – ผู้มีรายได้น้อย หากไม่ได้รับการเหลียวแล ก็จะขาดองค์ความรู้ ขาดวิทยาการสมัยใหม่ ขาดเทคนิค – เทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการทำงาน เป็นต้น รัฐบาล โดยข้าราชการต้องทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” เชื่อมโยง สร้างเครือข่าย สร้างความเข้าใจ สร้างสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วยครับ ตัวอย่าง ปัญหาที่เกิดจากความไม่เชื่อมโยงกัน ในประเด็นการศึกษา, เศรษฐกิจ, สังคม, กฎหมาย และนโยบายในการบริหารประเทศ คือ การวิจัยและพัฒนา ซึ่งต้องมองว่าเราจะวิจัยอะไร เราควรวิจัยในสิ่งที่เราขาดก่อนหรือไม่ ควรกำหนดเป้าหมายในการผลิตคน แรงงาน ในการให้ทุน สนับสนุนโครงการวิจัยที่มีเป้าหมายชัดเจน การกลับสู่ภูมิลำเนา อยู่กับครอบครัว เพื่อสร้างความอบอุ่นในสังคมได้อีกด้วย เราจะต้องคิดว่าเราจะผลิตใคร ไปทำอะไร เพื่อใคร ที่ไหน อย่างไร จะวิจัยอะไร ไปเพื่ออะไร ที่เราจำเป็น มีความต้องการก่อน ทุกอย่างที่เรามีศักยภาพในส่วนของต้นทางอยู่แล้ว ก็ขยายออกไปก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าจะวิจัยอะไรออกมาแล้วก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ประเด็นสำคัญก็คือเราสามารถจะใช้งบประมาณจัดซื้อจากต่างประเทศลดลง ใช้วัสดุที่เรามีอยู่เป็นจำนวนมาก โดย เฉพาะอย่างยิ่งจากภาคการเกษตร รวมทั้ง ประชาชนทุกระดับสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ มีราคาถูก นำไปสู่การผลิตเพื่อใช้เอง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มคิดค้นพัฒนาต่อไปได้ โดยผมไม่อยากให้ใช้ทุนการวิจัยทั้งหมดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม เพียงเพื่อในการเพิ่มวิทยฐานะ แต่เพียงอย่างเดียว หัวข้อวิจัย การใช้งบวิจัย ทั้งของรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ต้องสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ทำอย่างไรงบประมาณการวิจัยมีอยู่จำกัด จัดความเร่งด่วนอย่างไร บริหารจัดการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าหมาย ตั้งระยะเวลา ที่จะผลิตออกมา เพราะแต่ละเรื่อง ล้วนก็เป็นความต้องการทั้งสิ้นนะครับ ทั้งนี้ เราอาจต้องมีการรวมกลุ่มงานวิจัย เป็นเรื่องๆ เป็นคลัสเตอร์ อาทิ ด้านเกษตร, อุตสาหกรรม, สิ่งแวดล้อม พลังงานเหล่านี้ซึ่งจะมาจาก 3 แหล่งด้วยกัน ของรัฐมาจากการวิจัยของรัฐ ของภาคเอกชนธุรกิจ และอันที่ 3 มาจากสถาบันอุดมศึกษาที่มีอยู่มากมาย มีผลการวิจัยอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเรามาจัดเป็นคลัสเตอร์แล้วมันก็เป็นการสนับสนุนไปสู่ในเรื่องของการขึ้นทะเบียน การสนับสนุนเงินทุน ไปสู่ในเรื่องของการกำหนดมาตรฐาน ผ่านมาตรฐาน สมอ. ผ่านมาตรฐาน อย. ก็นำไปสู่การผลิตได้ และก็ใช้ได้ บางทีมันทำไม่ครบก็ติดไปหมดทุกอัน วันนี้รัฐบาลก็เร่งรัดอยู่แล้วนะครับ เราจะต้องมีกรอบนโยบายวิจัยที่ชัดเจน มีกลไกในการขับเคลื่อน มีงบประมาณรองรับ ตามความเร่งด่วน มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน มีการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัย นวัตกรรม ผลักดันสู่ขบวนการผลิตในเชิงพาณิชย์ หรือเอามาใช้ได้ในราชการก่อนเป็นต้น เราต้องคิดต้องทำให้ได้แบบนี้นะครับ ให้ครบวงจร เราทำหลายอย่าง หลายโครงการวิจัยที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ที่ผ่านมานั้นอาจไม่มีการขับเคลื่อนเอามาใช้ได้อย่างแท้จริง ก็เลยเหมือนกับว่าเราไม่เก่งหรือเปล่า คนไทยไม่มีนักวิจัยหรือเปล่า จริงๆไม่ใช่ มีนะครับ เพียงแต่มีมากมายหลากหลาย ซึ่งบางอย่างสามารถรวมเป็นกลุ่ม เป็นคลัสเตอร์ได้ เราจะได้พัฒนาต่อยอดไปได้เร็วขึ้น แล้วก็ไปเร่งรัดในเรื่องของขบวนการผลิต ผ่านการทดสอบ ทำให้เกิดความปลอดภัยในทุกๆเรื่อง มันก็จะเป็นผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชนต่อไปนั่นแหละนะครับ หากเราสนับสนุนให้ถูกทางถูกต้อง ทำให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ ผลงานมันก็จะเกิดประโยชน์นะ นักวิจัยก็จะมีกำลังใจ มีผลตอบแทนที่ดีพอไม่รั่วไหลไปทำงานต่างประเทศ ทำให้เราเข้าใจว่าเราขาดแคลนนักวิจัย จริงๆแล้วนักวิจัยของเราไปทำงานต่างประเทศซะเยอะ เห็นอยู่ในภาคธุรกิจเอกชนซะเยอะนะครับ ฉะนั้นเราต้องเอาทุกคนมารวมมันสมองกันให้ได้ คนไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าใครนะครับ บางเรื่องหากเรายังไม่มีประสบการณ์จริงๆ ยังไม่ก้าวหน้าแบบเขา เราก็ต้องเรียนรู้ เอาเทคโนโลยีของเขามาเพิ่มเทคโนโลยีในประเทศของเรา ให้ต่อยอดออกไปให้ได้ เราอาจจะต้องยอมรับความจริงบ้าง บางอย่างเราไม่ถนัด บางอย่างเราไม่มีความชำนาญ เราก็อาจจะต้องเปิดโอกาสให้นักวิจัย – ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เข้ามาช่วยในระยะแรก โดยต้องมีการถ่ายทอดเทคนิค – เทคโนโลยี ในการก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน หรืออะไรต่างๆก็แล้วแต่ ให้เราสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในอนาคต เราทุกคนต้องเปิดใจให้กว้าง เปิดรับคนอื่นบ้าง ที่ผ่านมา ถ้าทุกอย่างมันเก่งแล้วดีแล้ว คงไม่หยุดอยู่กับที่ เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางหรอกนะครับ ทำไมเรายังไปไม่ถึงประเทศที่มีรายได้สูง ผมก็ไม่อยากให้คิดว่า รัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อจะเอื้อประโยชน์ให้กับต่างชาติ ไม่ใช่เลยนะครับ ไม่ต้องการให้เข้ามาแย่งงาน – แย่งอาชีพของคนไทย อะไรที่คนไทยทำได้ ก็ต้องทำ เราก็คงไม่ปล่อยให้เราเสียประโยชน์มากขนาดนั้นนะครับ ผมอยากให้ไว้ใจ รัฐบาลนี้เราจะควบคุม ดูแล ทำให้ข้อกังวลใจต่างๆ เหล่านี้ ได้ดำเนินการได้ ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นผลประโยชน์ต่อคนไทยให้มากที่สุด ใครจะไป ใครจะมา ใครจะได้ประโยชน์ เราเองไม่ใช่เหรอครับเป็นผู้กำหนดมาตรการต่างๆ การทำทีโออาร์ การทำสัญญาต่างๆเราเป็นคนเขียนเอง ฉะนั้นเราย่อมไม่ทำอะไรแบบไม่มียุทธศาสตร์ อย่างที่ทุกคนเป็นห่วงกังวล เราเดินหน้ามาทุกเรื่อง ก็เป็นไปด้วยการพบปะหารือ ศึกษาทำความเข้าใจ ในทุกๆเรื่อง เปรียบเทียบ ในประเทศต่างประเทศ บางทีอาจจะรู้ไม่ทั่วถึงกันก็เลยเกิดความไม่ไว้วางใจมากขึ้น ก็ขอให้ทุกคนได้สอบถามได้นะครับ ผมพูดมาทั้งหมดนี้ มันก็อาจจะซ้ำๆ กับที่เคยพูดไป แต่ก็เพียงมุ่งหวัง จะทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น ให้เห็นความเชื่อมโยง จากปัญหาหนึ่ง ไปสู่ปัญหาอื่นๆ ดังนั้น วิธีคิด – วิธีการทำ ถ้าหากว่าเราต้องเปลี่ยนแปลง แนวทางเดิมแก้ปัญหาไม่ได้หรอกครับ มันต้องหนทางใหม่ หากคิดเหมือนเดิม มีโจทย์ มีปัญหา – แบ่งปัญหาไปแก้ ต่างคนก็แก้กันไป แล้วก็ไม่สัมพันธ์กัน มันก็ไม่เกิดที่มันเป็นรูปธรรม ที่มันเป็นแมส(mass)ขึ้นมา ก็แก้ได้อย่างไม่ยั่งยืน ไม่สมบูรณ์ นะครับ รัฐบาลนี้ ได้นำแนวทางการแก้ปัญหา “แบบบูรณาการ” มาขับเคลื่อน ทั้งแผนเงิน แผนคน แผนงาน นะครับ เพื่อจะบริหารจัดการกับปัญหาในทุกปม ทุกประเด็นในเวลาเดียวกัน ให้เกิดการประสานสอดคล้องกัน มันอาจจะยากเพราะอาจไม่เคยปฏิบัติ ลักษณะเช่นนี้มาก่อนมากนัก แต่หากเราแก้ไขได้ด้วย “การวางแผนร่วมกัน” คุยกันให้ละเอียด ตั้งแต่ต้นจนจบ อุปสรรคอยู่ตรงไหน ความเสี่ยงอยู่ตรงไหน ใครควรจะรับแก้ไขตรงนั้นไป ก็ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่โต้แย้งกันทุกประเด็น ความคิดทุกคนมีประโยชน์ทั้งสิ้น ข้อสำคัญ ก็คือ เราต้องมองผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง มันก็จะมาสู่การแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา อย่างยั่งยืน พี่น้องประชาชน ที่รักครับ, ที่ผมเคยยกเอา “4 คำถาม” กับ “50 ประเด็น” มากล่าวในรายการนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในการทำงานของรัฐบาลและ คสช. ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ในทางกลับกัน ผมมั่นใจว่า “เราทำได้ทุกเรื่อง” ในประเด็นต่างๆ ซึ่งบางประเด็นสำเร็จแล้ว, บาง อย่างก็ต้องเริ่มต้นทำต่อ และบางอย่างต้องอาศัยทั้งเวลาและความร่วมมือเป็นสำคัญ ข้อกฎหมายก็ต้องไปแก้ไขปัญหากัน ไปช่วยกันคิดนะครับ ว่าเราจะร่วมมือกันได้อย่างไร ตามบทบาท – หน้าที่ – และศักยภาพ ของแต่ละคน แต่ละฝ่าย อย่าคิดอะไรที่มันขัดแย้งกันจนเกินไป บ้านเมืองเราก็จะไปข้างหน้าไม่ได้ ลูกหลานในวันข้างหน้าในอนาคตก็ไม่มีความสุขนะครับ รัฐบาลนี้ ไม่อยากให้ใครไปบิดเบือนว่า รัฐบาลกลัวว่าจะ “ไม่มีผลงาน” ไม่กลัวหรอกครับเพราะผมรู้ดีว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้าง หลายอย่างอาจจะไม่มีผลมาสู่เป็นรายบุคคล แต่มีผลในส่วนของการทำงานระยะยาวของผู้ร่วมรัฐบาลนะครับ อย่ามาพูดในเรื่องของสืบทอดอำนาจ หรือต้องการจะเลื่อนการเลือกตั้ง ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะครับ ผมพร้อมน้อมรับฟังความคิดเห็น ที่เป็นประโยชน์ตลอดมานะครับ สำหรับกรณี “รถไฟ ไทย – จีน” นั้น ก็ขอให้ทำความเข้าใจอีกทีนะครับ พูดกันหลายครั้ง อย่าสับสนกับข้อมูล เป็นความร่วมมือ ระหว่างไทย – จีน แบบ “รัฐบาล ต่อ รัฐบาล” มีการร่วมมือกันมาหลายรัฐบาลแล้ว มีข้อตกลงร่วมกัน เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็เอามาสานต่อ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อจะเป็นการลงทุนในอนาคต พอดีก็มันมีการพัฒนาโครงการโน้นโครงการนี้ ของหลายประเทศมหาอำนาจด้วยก็เชื่อมโยงกันได้พอดีนะครับ เราจำเป็นต้องเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค เชื่อมโยงกับประชาคมโลกอื่นๆอีกด้วย เพราะฉะนั้นมีหลายประเด็น ที่ต้องพิจารณา เรื่องที่ 1 คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง และระบบควบคุมการเดินรถ – อาณัติสัญญาณ คือพูดถึงทั้งระบบนะครับ ทั้งเส้นต้องทำทั้ง 3 อย่าง เพราะฉะนั้น “ฝ่ายไทย” ก็ได้ตัดสินใจจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกรอบการเจรจา วงเงินประมาณ 1.7 แสนล้านบาท มีการต่อรองมาตลอดนะครับ มีการเทียบราคาซึ่งกันและกัน ทั้งต่างประเทศ ทั้งในประเทศนะครับ ได้มีการต่อรองราคาอยู่ประมาณนั้น เราก็จะเป็นการจัดการประมูลในส่วนของการก่อสร้าง ให้บริษัทไทย หรืออาจจะมีการร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติไทย ดังนั้น ฝ่ายไทยจะรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง และในการบริหารจัดการอื่นๆ ในกรอบดังกล่าว โดยต้องเปรียบเทียบมาตลอดในการเจรจาทั้งหมด 18 ครั้งนะครับ 2. การร่วมลงทุนของจีนในลักษณะนี้ อาจจะเรียกได้ว่า จีนยังไม่เคยทำกับประเทศใด นอกจากจะใช้ระบบสัมปทานแบ่งปันผลประโยชน์ ทำนองนั้น อันนี้มันเป็นการรับจ้างก่อสร้าง เมื่อเราพิจารณาแล้วมีความเหมาะสมมากกว่า ส่วนมาตรฐานของจีนนั้น ก็ได้รับการยอมรับเนื่องจากได้มีการนำเทคโนโลยีของจีน ไปใช้ก่อสร้างในหลายประเทศแล้ว รวมทั้งหลายประเทศในอาเซียนด้วย หลายหมื่นกิโลเมตร “ฝ่ายไทย” มีโอกาสพิจารณา ทั้งการให้สัมปทานและการลงทุนเอง เราได้เลือกที่จะลงทุนเอง ไม่ได้เป็นการกำหนดจากฝากจีนเลย เนื่องจากหากเป็นระบบสัมปทาน ฝ่ายจีนจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ทั้งหมด เช่นที่ทำอยู่ในหลายประเทศ ในปัจจุบัน ทั้งบนราง สองข้างทางต่างๆ ทั้งหมด เพราะว่าไปชดเชยกับค่าก่อสร้าง วันนี้เราก็จำเป็นต้องเอาตรงนั้นมาอีกส่วนหนึ่งเพื่อพิจารณาให้เกิดประโยชน์ทดแทนรายได้ที่จะลดลงในระยะแรก เราอาจจะได้รายได้ในการสัญจรไปมาเนี่ย อาจจะไม่เพียงพอ ก็เหมือนกับทุกประเทศที่เขาทำอยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ 3. หาก “ฝ่ายไทย” เป็นเจ้าของ เราก็จะมีกิจการ เป็นผู้พัฒนา 2 ข้างทางเอง เพื่อจะดูในการสร้างเมืองใหม่, พัฒนาเป็นพื้นที่ประกอบการทางธุรกิจน้อยใหญ่ ที่พักอาศัยของชุมชน หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต วันนี้ผมได้สั่งการไปยังกระทรวงคมนาคม , สนข. ไปคิดแผนเหล่านี้ออกมาควบคู่ด้วยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ผ่านมาให้แนวทางแล้วนะครับ ที่สำคัญ มันก็จะเกิดผลตอบแทนเชิงธุรกิจสูงมาก ดีกว่าที่จะให้เลือกระบบสัมปทานไปนะครับ ประเทศชาติและลูกหลานของเราในอนาคต ก็จะสูญเสียโอกาสและไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า ในอนาคต 4. การแก้กฎหมายนั้น เราจำเป็นต้องไปดูตรงนี้อีกนะครับ การใช้พื้นที่ของ “รฟท.” (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ ในเชิงพาณิชย์ เพราะกฎหมายทำไม่ได้นะครับ เราต้องทำให้ได้ในลักษณะ PPP หรือแบบอื่น ด้วยตัวเราเอง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมานั้น บริเวณเส้นทางรถไฟ มันทำอะไรไม่ได้เลย ทางด่วน รถไฟฟ้า มันเป็นเรื่องของกระทรวงคมนาคมทั้งหมด มันก็ไปทำอย่างอื่นไม่ได้ วันนี้ต้องมาดูตรงนี้นะครับ เราจะได้ไม่เสียประโยชน์ธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆไปอีกด้วย ขอร่วมมือด้วยนะครับ ในอนาคตเรื่องกฎหมาย 5. เราจำเป็นต้องมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงหรือไม่ อันนี้มันจำเป็น เพราะอะไร เพราะว่า มันต้องมีการเชื่อมต่อเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นไทย – ลาว จีน ปากีสถาน ยุโรปตะวันออก เขามีการเชื่อมโยงกันแล้วในขณะนี้ เราก็จำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงไปด้วยคู่ขนานไปกับทางรถยนต์นะครับ ข้ามทวีป ข้ามประเทศต่างๆ เราก็ต้อง ทำไปด้วย ทางหลวงต่างๆเหล่านั้น เราก็ เคยทำมาแล้วทางหลวง วันนี้เราก็เพียงแต่มาทำทางรถไฟ บางคนบอกว่าเอ๊ะ ทำไมไม่มาทำทางรถไฟไทย ทางคู่อย่างเดียวทั้งหมด ก็ต้องคู่ขนานกันนะครับ ทางคู่ก็ต้องทำไป ทุกอย่างทั้งหมดปัญหาอยู่ทำได้หรือทำไม่ได้ มันติดคนบุกรุกหรือเปล่า มันติดพื้นที่ป่าหรือไม่ มันติดในเรื่องของการทำประชาพิจารณ์หรือเปล่า ทั้งหมดคือปัญหาของเรา ถ้าเราปรับได้บ้าง เราเข้าใจกันบ้างมันก็จะเกิดได้ มันก็จะได้ไม่เสียเวลานะครับ และเราจะได้ตามทันคนอื่นเขาด้วย ในกรอบ One Belt , One Road (OBOR) วันนี้ ลาว ก็อยู่ระหว่าง การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมไปยังทางเดียวกับเรานะครับ เราต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้ 6. เราจำเป็นต้องปรับ จัดทำกฎหมายหลายฉบับ โดยต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่เฉพาะ ไทย – จีน นะครับ รวมทั้งอีก 64 ประเทศในกรอบ One Belt , One Road (OBOR) ควบคู่ไปด้วย 7. การจัดการประมูล ในส่วนที่ “ฝ่ายไทย” ลงทุนเอง เราจะต้องดำเนินการเองทั้งหมด การจัดการประมูล การใช้ บริษัทก่อสร้างไทย, แรงงานไทย, วัสดุในท้องถิ่นของไทย ให้มากที่สุด ก็ใช้แต่วิศวกรจากจีนมาเป็นผู้ออกแบบ ควบคุมแล้วก็ดำเนินการก่อสร้างภายใต้การทำงานของบริษัทก่อสร้างของเราซึ่งก็ต้องมี ประสิทธิภาพ มีมาตรฐานด้วยนะครับ 8. การพิจารณา “ความคุ้มทุน” ทุกคนก็ไม่มองเฉพาะจำนวนผู้โดยสารที่จะใช้บริการเท่านั้น ทุกประเทศที่ผมไปเยี่ยมเยียนมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แรกๆ ขาดทุนทั้งหมดนะครับ แต่วันนี้มหาศาลเพราะมันเกิด ผลประโยชน์สองข้างทางตามมา โดยทันทีนะครับ เพราะฉะนั้น เราจะวางแผนอย่างไร เราจะมองผลประโยชน์ตรงนี้อย่างไร ถ้าเราคัดค้านทั้งหมด ธุรกิจเหล่านี้จะเกิดไม่ได้เลย มันก็เป็นอย่างที่ทุกคนเป็นห่วงนั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ผลประโยชน์เหล่านี้ จะต้องกระจายลงไปยังแต่ละพื้นที่ที่เส้นทางพาดผ่าน ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ที่อยู่อาศัย พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ชุมชนในพื้นที่อีกด้วย 9. ในเรื่องของการถ่ายทอดเทคโนโลยี ในการก่อสร้าง โดยวิศวกรของไทยอยู่ร่วมในการวางแผนก่อสร้าง, ควบคุมงาน และอื่นด้วย อันนี้มันอยู่ในสัญญาที่จะต้องไปพูดคุย เจรจากันต่อไป ซึ่งมีการพูดคุยมาต่อเนื่องนะครับ 10. ในส่วนประสบการณ์ แม้เราไม่เคยทำมาก่อน แต่ผมเชื่อมั่นในความศักยภาพของวิศวกรไทย ว่าสามารถเปิดรับเทคนิคและประสบการณ์ใหม่ๆ จากเส้นทางนี้ ได้มากนะครับเพราะเรามีความสามารถอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องอะไรใหม่ๆ เราอาจจะต้องดูในระยะแรกไปก่อนนะครับ ติดตามศึกษาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานในเส้นทางอื่นๆ ซึ่งอาจจะต้องทำเอง อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปนะครับ ในเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องสำคัญนะครับ 11. เส้นทางอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ เส้นทางเหนือ – ใต้, ตะวันออก – ตะวันตก เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอีกครั้งนะครับ เราต้อง เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันจากหลายๆ ประเทศ ที่มีศักยภาพ สนใจอยากมีส่วนร่วม ไม่ใช่ว่า ทำเส้นนี้แล้วเส้นอื่นจะต้องเป็นแบบนี้ มันใช่หรอกนะครับ มันมีหลายวิธีการ เราต้องทำให้มันเกิดขึ้นก่อน สักเส้นหนึ่งมั้ย แล้วเรามีการพัฒนา มีการประมูล มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี มันก็จะสามารถที่จะร่วมทุน หรือ TPP ร่วมกัน ในโอกาสต่อไปกับทุกประเทศนะครับ อย่าเอาอันนี้ไปพันกับอันอื่นเดี๋ยวมันจะมีปัญหา ในการทำงานต่อไปอีกด้วย 12. เทคนิคในการก่อสร้าง ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล อย่าไปห่วงกังวลเลย เพราะเรามีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ที่เรายอมรับได้อยู่แล้ว ระบบอาณัติสัญญาณนั้น เราก็ต้องผูกพันไว้ให้ได้ว่า ต้องสามารถเชื่อมโยงกันได้กับโครงการต่อๆ ไปไม่ว่าจะมาจากประเทศไหนก็ตาม ต้องเชื่อมต่อกันให้ได้นะครับ อย่ากังวลในเรื่องนั้นนะครับ เพื่อให้การเดินรถมีความปลอดภัย ต่อเนื่อง ราบรื่น และมีประสิทธิภาพ 13. การกำหนดราคา ก็ได้มีการผ่านการเจรจา ต่อรอง เอารายละเอียดมาดูกัน ราคาค่าก่อสร้าง ราคาวัสดุ อุปกรณ์ มาเทียบกันหมดแล้ว วันนี้ก็ตกลงข้อสรุปกันได้ประมาณ 1 แสน 7 หมื่นล้านบาทนะครับ ก็ลดจากฝ่ายจีนที่เสนอมา จำนวนมากพอสมควรนะครับ เราได้ศึกษามาอย่างรอบคอบ ข้อมูลการเปรียบเทียบการก่อสร้าง ในลักษณะเดียวกันในประเทศอื่นด้วยในกรอบวงเงินงบประมาณ เพราะฉะนั้น ในการดำเนินการทุกเรื่อง เราจะต้องยึดผลประโยชน์ของชาติมาก่อนเสมอ คำนึงถึงหนี้สาธารณะต่างๆในอนาคตด้วยที่จะต้อง อยู่ในกรอบการเงินการคลังของเรานะครับ 14. การทำพันธะสัญญา ความร่วมมือในลักษณะ “G2G” นั้น “ฝ่ายไทย” ดำเนินการโดยหน่วยงานราชการ กระทรวงคมนาคม การรถไฟไทย “ฝ่ายจีน” เป็นไปตามหลักการทำธุรกิจของจีน คือ ให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชอบ ได้แก่ สภาเศรษฐกิจ ในการรับรองบริษัทที่จะมาทำการก่อสร้างกับไทย เท่านั้น ไม่ใช่ว่าบริษัทอะไรก็ได้ ไม่ใช่นะครับ เขาต้องรับผิดชอบ รับรองด้วย 15. ผมก็อยากจะขอร้องให้ทุกภาคส่วน ได้มองในภาพกว้าง ไม่ว่าจะประชาชน ประชาสังคม นักวิชาการ วิศวกร ต่างๆ ช่วยกัน กรุณานึกถึงผลประโยชน์ในอนาคตด้วย ความห่วงใยของท่าน ผมเคารพในความคิดเห็นของท่านเสมอนะครับ เราจะต้องสรรหารูปแบบต่างๆ ในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ, การถ่ายทอดเทคโนโลยี, ตลอดจนให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากการสร้างงาน สร้างรายได้ มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาการศึกษาของเรา ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาต้องการ อย่างเช่นวันนี้นะครับ เราต้องการมาก 16. ผมได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการป้องกันการทุจริต จะต้องโปร่งใสนะครับ ทั้งในส่วนราชการ – ข้าราชการ – บริษัทก่อสร้าง – นักธุรกิจไทยก็ต้องทำงานอย่างโปร่งใสนะครับ มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน 17. เรื่องรถไฟความเร็วสูง เป็นเพียงหนึ่งในความร่วมมือระหว่างไทย – จีน ที่มีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน มันมีตั้งหลายโครงการตั้งหลายอย่างที่ร่วมมือกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน กับหลายๆ ประเทศก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การลงทุนร่วมกัน หรือการหาวิธีการแสวงหาความร่วมมือ มันจะช่วยพัฒนาความเชื่อมโยงและการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืนในระยะยาว และสนับสนุนความร่วมมือรูปแบบต่างๆ ที่จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ในอนาคต ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันในการบูรณาการในทุกระดับนะครับ ทั้งรัฐบาล คสช. กระทรวงคมนาคม , หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนอีกมากมาย ที่มีส่วนร่วมในการเจรจา จนมีความก้าวหน้า ซึ่งรัฐบาลและ คสช. จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ (ม.44) เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ จากผลการเจรจา ทั้งเกือบ 20 ครั้ง ที่ผ่านมาทั้งหมดมันมีความคืบหน้ามาตามลำดับ แต่มันติดอยู่สามสี่อันตรงนี้ ก็ไปแก้ไขตรงนี้ ย้อนกลับไปดูซิว่าการเจรจาครั้งสุดท้ายที่เรายอมรับได้มันคืออะไร แล้วก็ทำให้มันได้ตามนั้นนะ ถ้าช้าเกินไปเราก็เสียโอกาสนะครับ การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เราก็จะสูญเสียไปนะครับ ก็ขอให้ทุกคนพยายามศึกษาทำความเข้าใจนะครับ แล้วก็เห็นถึงเหตุผลและความจำเป็น รัฐบาลก็ยืนยันทุกอย่างนะครับ มีข้อตกลงคุณธรรมเพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีการตรวจสอบได้ ใครทุจริต ก็จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย โดยทันที ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน ก็ตาม พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ, สิ่งที่ผมเป็นกังวล ก็คือ เราจะทำสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชน ได้ในอนาคต ต้องแก้ไขของเดิมได้ด้วย เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือ 1.กรณีการใช้ที่ดิน ส.ป.ก. ในกิจการพลังงาน เราก็ต้องไปดูซิว่า มันจะแก้ปัญหาอย่างไร มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในประเด็นเหล่านี้ (1) กิจการที่ว่ามีปัญหา ดำเนินการมาก่อนแล้วทั้งสิ้นก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา และ (2) สำหรับการจะใช้ประโยชน์ “เพิ่มเติม” จากที่ระบุไว้เดิม ตามกฎหมาย ส.ป.ก. ที่ใช้เพื่อการเกษตร มันต้องไปดูกันอีกทีเรื่องหนึ่งนะครับ เรื่องของการแก้ไขกฎกระทรวงอันนี้ก็ให้ คณะกรรมการ ส.ป.ก. ไปพิจารณามา แต่วันนี้เราต้องแก้ของเดิมที่มีปัญหามาให้ได้ก่อน ถ้าจะทำใหม่ก็ต้องไปดูกฎหมาย กฎกระทรวง อีกมากมาย ไปทำตามขั้นตอนให้ครบนะครับ ทุกอย่างต้องเข้ากรอบนโยบายยุทธศาสตร์ หากไม่เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ มันก็ต้องกลับมาใช้ตามวัตถุประสงค์เดิม คือ การจัดสรรที่ดินเพื่อทำกินและอยู่อาศัย สำหรับเกษตรกร เราต้องหาทางแก้ปัญหาและป้องกันความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้ได้ เพราะมีผลความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของชาติ,ของประชาชน ตามกฎหมายที่บางพื้นที่ได้รับไป ถ้าเราหยุดชะงักมันก็มีปัญหา ประชาชนเดือดร้อนนะครับ เราก็เอาสิ่งนี้กลับมาทำให้ถูกต้อง แล้วอันใหม่ก็ไปทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง มันก็ไม่เกิดผลกระทบ ในอนาคตอีกนะครับ แต่ยืนยันว่าที่ดินสปก.ก็ยังมุ่งเน้นไปสู่ประชาชน ต้องให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุดแก่ประชาชน ชุมชน ในส่วนของประเทศชาติก็ไปว่ากันมา ถ้ามันมีความเป็นไปได้ตามยุทธศาสตร์ ประชาชนมีความพึงพอใจก็ว่ากันอีกทีนะครับ ทั้งหมดนั้นเกิดมานานแล้ว เราปล่อยไม่ได้นะครับ ต้องสะสาง แต่แน่นอนนะครับ ความเข้าใจมันไม่เท่าเทียมกัน ต่างก็มีปัญหา ก็ต้องช่วยกัน ต้องใช้สติปัญญา ใช้ความจริงใจ ช่วยกันทำต่อไป อะไรที่ลงทุนแล้ว, อะไรที่จะต้องไปดูเรื่องสัมปทาน, มีการเปิดประมูล, การสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม, การสร้างระบบสาธารณูปโภค ทุกวันน่ะ มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกันมากนัก ที่ผ่านมาไม่ค่อยทราบ วันนี้รัฐบาลยังไม่ทราบทุกเรื่อง ก็เลยเกิดปัญหาทุกเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เราต้องมองปัญหารวม และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนๆด้วย ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และยึดแนวทาง “ศาสตร์พระราชา” ใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ “ควบคู่” กันไปด้วยนะครับ 2.เรื่องผังเมืองเช่นเดียวกันครับ อันนี้ก็ต้องชมเชยกระทรวงมหาดไทยพยายามทำผังเมือง จนครบทั้ง 76 จังหวัด กรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งค้างมาเป็นเวลานานวันนี้ทำครบหมดแล้วหละแต่ขณะที่ทำมา มันใช้เวลาที่ผ่านมาทำไม่เสร็จ พอทำไม่เสร็จคนก็มีการขยับขยาย เคลื่อนย้าย มีคนมากขึ้น ย้ายบ้านย้ายช่องไปอยู่ เพราะฉะนั้นผังเมืองที่เพิ่งจะออกมาได้ ไม่ทันสมัยอีกแล้วหลายๆคนก็ไม่ทำตามกฎหมาย ไม่เป็นไปตามผังเมือง เสร็จแล้วพอมีปัญหาเรื่องน้ำท่วม ฝนแล้ง มันก็แก้ไม่ได้อีกเหมือนนะครับ ผมก็อยากขอร้องผู้มีรายได้น้อย หรือใครต่างๆก็ตาม ที่ชอบฝ่าฝืนกฎหมาย อันนี้ท่านจะได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ท่านมีรายได้มากขึ้น ท่านก็พอใจ แต่ก็อย่าลืมว่า คนที่เขาไม่มีรายได้ เช่นเดียวกับท่าน เขาได้รับผลกระทบ จากการที่เราได้ไปละเมิดผังเมือง ไปสร้างบ้านคร่อมทางน้ำ หรือไปขวางทางระบายน้ำ ต้องเห็นใจคนเหล่านั้นบ้าง เป็นคนส่วนใหญ่ด้วยนะครับ ถ้าเราไปดำเนินการใช้กฎหมายเต็มๆทุกเรื่อง มันก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ไปรังแกท่านอีก ฉะนั้นปัญหาทุกปัญหามันมีส่วนร่วมทั้งหมด ส่วนหนึ่งได้เป็นส่วนน้อย ไอ้ส่วนใหญ่เสียหาย มันก็ไม่ได้นะครับ ขอให้ทุกคนได้นึกถึงกันบ้าง ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ผู้ที่มีรายได้น้อย ต้องได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายซึ่งจะต้องบังคับกันมานานแล้ว อันนี้ต้องขอความร่วมมือด้วยนะครับ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ถ้าแก้ไม่ได้ มันก็อยู่กันอย่างเดิมทั้งหมดนะครับ ทั้ง 2 ประเด็นนี้ ผมฝากให้ประชาชนได้ช่วยกันคิดนะครับ เราจะทำอะไรได้บ้าง ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างที่ทุกคนพูดเสมอว่าแผ่นดินนี้เป็นของประชาชน ประชาชนนั้นแหละครับเป็นผู้ที่ต้องแก้ปัญหาให้ได้ด้วยตัวเอง แล้วก็มีภาครัฐมาช่วย อุดหนุน อำนวยการ จัดระเบียบให้ได้ วันนี้ ก็มี“จิตอาสา” เป็นจำนวนมาก “ประชารัฐ” ก็ก่อร่างสร้างตัวในหลากหลายกิจกรรม แต่ปัญหาใหญ่ๆ เชิงโครงสร้าง ยังคงต้องการความร่วมมืออีกมาก ในส่วนที่ทำได้ รัฐบาลก็ทำไปแล้ว ยังไม่ได้ทำ กำลังทำ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ำ สาธารณูปโภคพื้นฐาน การจัดระเบียบ สังคม ซึ่งทุกอย่างจะต้องไม่มองแต่เพียงประเด็นของตัวเองอย่างเดียว ต้องเอาประเด็นทุกประเด็นของตนไปดู ประเด็นของคนอื่นด้วย แล้วเอามา ดูว่าจะทำอย่างไรจะลดความขัดแย้งลงได้บ้างนะครับ เรื่องนี้ถ้าเราไม่ทำวันนี้ วันนี้รัฐบาลหน้าก็ทำไม่ได้อีกเช่นเดิม เพราะว่าจะต้องไปบังคับใช้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ก็เสียหายนะครับ เสียภาพลักษณ์ประเทศ ในโอกาสวัน อิ-ดิล-ฟิ-ตี้ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1438 ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดี มายังพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั้งหลาย ผมขอพรอันประเสริฐจากเอกองค์พระผู้อภิบาล ได้โปรดประทานพร แก่พี่น้องชาวไทยทุกท่าน จงประสบแต่ ความร่มเย็นเป็นสุข มีความจำเริญ รุ่งเรือง และมีสุขภาพพลานามัย ที่สมบูรณ์แข็งแรงโดยทั่วกัน สุดท้ายนี้ผมขอประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชนว่ารัฐบาลได้กำหนดให้วันเข้าพรรษาของทุกปีเป็น “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ซึ่งในปีนี้ ตรงกับวันที่ 9 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ นะครับ วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญที่ชาวพุทธจะได้กำหนดจิตแน่วแน่ในการบำเพ็ญความดีให้ยิ่งขึ้นเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งการงดดื่มสุราก็จะถือเป็นมหากุศลด้วย เพราะหากผิดศีลข้อ 5 แล้ว ย่อมมีโอกาสละเมิดศีลข้ออื่นได้โดยง่ายในปี 2560 นี้ ผมได้ให้คำขวัญเนื่องในวันงดดื่มสุราว่า“ห่างไกลสุรา ประชาเป็นสุข ปลอดภัยพาชาติไทยเจริญ” เนื่องจากสุราก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ดื่มเอง ครอบครัว บุคคลรอบข้างชุมชน สังคม และประเทศชาติ ด้วยมาจากที่การดื่มสุรา ก่อให้เกิดโรคภัยมากมายที่ส่งผลถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สังคม และเศรษฐกิจไทย ดังนั้น ผมขอเชิญชวนพ่อ แม่ พี่ น้อง ชาวไทยทุกท่าน ลด ละ เลิกสุรา และ ช่วยกันปกป้องเยาวชนของเราให้ห่างไกลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยกระทรวงสาธารณสุข มีการรณรงค์และจัดกิจกรรมสนับสนุนการปฏิญาณตนงดดื่มสุรา ในช่วงเข้าพรรษา และงดให้ครบพรรษา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9ในปีนี้ที่สำคัญยิ่งนี้ด้วย