สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักตบลูกขนไก่สาวไทยจากแคมป์ “เอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี่” ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักแบดมินตันหญิงคนแรกของโลกที่คว้าแชมป์ระดับกรังปรีซ์โกลด์ ได้ทั้ง 3 ประเภท คือ หญิงเดี่ยว, หญิงคู่ และคู่ผสม หลังจากที่ปอป้อจับคู่กับ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ คว้าแชมป์คู่ผสม รายการ โยเน็กซ์ สวิส โอเพ่น 2017 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ย้อนกลับไป “ปอป้อ” เริ่มสร้างผลงานตั้งแต่ระดับเยาวชนด้วยการคว้าแชมป์หญิงเดี่ยว กีฬายูธ โอลิมปิกเกมส์ 2010 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมาเธอก้าวขึ้นผงาดครองแชมป์หญิงเดี่ยวระดับกรังด์ปรีซ์โกลครั้งแรกด้วยการคว้าแชมป์ รายการ ยูเอส โอเพ่น 2013 ที่สหรัฐอเมริกา ต่อมา “ปอป้อ” เริ่มหันมาเล่นประเภทคู่ และทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน โดยคว้าแชมป์หญิงคู่ 2 รายการด้วยการ จับคู่กับ “เอ็มเอ็ม” สาวิตรี อมิตรพ่าย คว้าแชมป์ รายการ ไซเยด โมดี้ อินเตอร์เนชั่นแนล 2012 ที่ประเทศอินเดีย และจับคู่กับ “เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล คว้าแชมป์ รายการ เอสซีจี ไทยแลนด์ โอเพ่น 2016 ที่ประเทศไทย ก่อนที่จะจับคู่กับเดชาพลคว้าแชมป์คู่ผสม รายการ สวิส โอเพ่น 2017 ทำให้ปอป้อสร้างสถิติครั้งสำคัญขึ้นในวงการแบดมินตันโลก สาววัย 25 เล่าให้ฟังถึงที่มาของการเล่นกีฬาลูกขนไก่ว่า เริ่มเล่นมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่เป็นนักแบดมินตันของมหาวิทยาลัยมาก่อน ทำให้มีส่วนสำคัญให้สนใจเล่นแบดมินตันด้วย ซึ่งคุณพ่อกับคุณแม่ประกอบธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านขายเพชรพลอย ที่ จ.อุดรธานี และตอนนั้นยังได้สร้างคอร์ตแบดมินตันขึ้นมา ทำให้พ่อกับแม่พาไปออกกำลังกายด้วยการเล่นแบดมินตัน “ตอนแรกก็เล่นแบดมินตันเป็นการออกกำลังกายเฉยๆ ไม่ได้ซ้อมจริงจัง แต่พอเริ่มไปแข่งขัน และแพ้กลับมา ทำให้เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้อยากจะตั้งใจเล่นแบดมินตัน จึงได้กลับมาฝึกซ้อมแบบเต็มเวลา ซ้อมเข้าตามระบบ ตั้งใจซ้อมเต็มที่ พอเริ่มซ้อมจริงจังมาเรื่อยๆ ก็เริ่มดีขึ้น จนกระทั่งตอนอายุ 14 ปีก็ได้แชมป์ แต่เป็นแชมป์ข้ามรุ่นคือ แชมป์รุ่น 15 ปี พอตอนอายุ 15 ปี ก็ได้แชมป์ข้ามรุ่นไปอีกเป็นแชมป์รุ่น 18 ปี” “ปอป้อ” ติดทีมชาติตอนอายุเพียง 15 ปี ก่อนก้าวไปคว้าแชมป์กีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 2010 ที่ประเทศสิงคโปร์ ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น “ครั้งนั้นถือเป็นการแข่งขันที่ป้อประทับใจมากที่สุด เพราะเราตั้งใจซ้อมมาก และเต็มที่มากจริงๆ โดยไม่ได้คิดว่าจะได้เหรียญทอง แต่ปรากฏว่าได้แชมป์กลับมาเลยทำให้รู้ว่า ถ้าเรามีความมุ่งมั่นกับอะไรสักอย่าง เราก็จะสามารถทำได้สำเร็จ ซึ่งการตีเดี่ยวในตอนนั้นรู้สึกว่ามีความตื่นเต้นแบบเฉพาะตัวมากกว่าการตีคู่” จากนั้น “ปอป้อ” เริ่มเปลี่ยนจากการตีเดี่ยวมาตีคู่ โดยเริ่มต้นในประเภทหญิงคู่ด้วยการจับคู่กับ “เอ็มเอ็ม” สาวิตรี อมิตรพ่าย ก่อนปลี่ยนมาจับคู่กับ “เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล ต่อมาโค้ชได้ลองปรับให้มาเล่นประเภทคู่ผสมด้วย ซึ่งเริ่มต้นด้วยการจับคู่กับ "เอ" มณีพงษ์ จงจิตร ก่อนที่จะเปลี่ยนมาจับคู่กับ "บาส" เดชาพล จนสร้างผลงานยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ “ปอป้อ” เล่าให้ฟังต่อว่า ตอนแรกก็ตีทั้งเดี่ยวและคู่ไปพร้อมกัน แต่โค้ชเห็นว่าถ้าเล่นคู่อย่างเดียวศักยภาพน่าจะดีกว่า อีกทั้งตอนนั้นนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวของไทยมีหลายคน ทำให้ต้องแข่งขันกันเอง เลยตัดสินใจมาตีคู่อย่างเดียวเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา และส่วนตัวแล้วก็รู้สึกชอบเล่นคู่มากกว่าอีกด้วย “ความแตกต่างระหว่างตีเดี่ยวกับตีคู่ก็คือ ตีเดี่ยวจะเป็นเรื่องของตัวเองล้วนๆ เพราะว่าเราต้องรับผิดชอบตัวเอง แล้วก็ในสนามก็จะอยู่ที่ตัวเราเองทั้งหมด แต่การตีคู่จะต้องรู้ใจคู่ขา เราจะต้องทำอะไร ไปไหนมาไหน กินข้าวด้วยกัน เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้นแล้วจะเวิร์กกว่าเดิม ซึ่งเรื่องทีมเวิร์กเป็นสิ่งสำคัญในการตีคู่ ทั้งการตีคู่กับเอิร์ธ และบาส ส่วนสิ่งที่ยังต้องปรับปรุงคงเป็นเรื่องของร่างกาย ความแข็งแรง และเสริมเทคนิคแบดมินตันบ้างเล็กน้อย” การเล่นทั้งหญิงคู่ และคู่ผสม “ปอป้อ” บอกว่า พยายามทำผลงานอย่างเต็มที่ทั้ง 2 ประเภท โดยตอนนี้ทั้ง 2 ประเภทก็มีอันดับโลกที่อยู่ใกล้เคียงกันไปไล่เรียงตั้งแต่อันดับ 9, 10, 11 ของโลก “การเล่นคู่ด้วยกัน ทำให้ทั้งป้อ, เอิร์ธ และบาส สนิทกัน สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนแรกก็ไม่ได้สนิทกับบาสมาก่อน ทำให้แรกๆ ที่เล่นคู่กับบาสก็รู้สึกเกรงใจ แต่พอได้อยู่ด้วยกันนานๆ เรื่อยๆ ไปไหนไปด้วยกันตลอด ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พอซ้อมหรือแข่งขันเสร็จก็ไปกินข้าวด้วยกัน เรียกว่าไปไหนด้วยกันตลอด และเจอกันแทบจะทุกวันก็เลยทำให้สนิทกันไปเอง” จากผลงานอันยอดเยี่ยมของ “ปอป้อ” ทำให้มีการนำไปเปรียบเทียบกับนักแบดมินตันรุ่นพี่ฝีมือเยี่ยมอย่าง “ส้ม” สราลีย์ ทุ่งทองคำ ซึ่ง “ปอป้อ” แสดงความเห็นว่า พี่ส้มเขาตีได้เก่งมาก และถือว่าพี่ส้มเป็นนักแบดมินตันไอดอลของหลายคน รวมทั้งตัวเองด้วย เพราะว่าเป็นนักกีฬาที่ดี มีความรับผิดชอบ ทุกคนก็จะพยายามนำแนวทางที่พี่ส้มใช้มาใช้กับตัวเองเพื่อให้ดีขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าถามว่าสไตล์การเล่นของป้อกับพี่ส้มเหมือนหรือแตกต่างกัน ป้อคิดว่าสไตล์ประเภทคู่ผสมจะเป็นผู้หญิงเป็นคนเดินเกม ตรงนี้เหมือนกัน แต่ก็คงไม่เหมือนกันหมด เพราะว่าป้อกับบาสก็อาจจะมีความบู๊มากกว่าพี่ส้ม และพี่เต่า (สุดเขต ประภากมล) เพราะสไตล์การเล่นยุคปัจจุบันสไตล์อาจแตกต่างไปจากยุคก่อนที่เล่นแบบตีช้าได้บ้าง แต่ยุคนี้จะตีช้าไม่ได้แล้ว และเราก็พยายามจะเป็นตัวแทนพี่ส้ม และพี่เต่ายุคใหม่อย่างนี้มากกว่า” สำหรับเป้าหมายของปอป้อที่วางเอาไว้ในปีนี้คือ คว้าเหรียญในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่รายการอาชีพตั้งเป้าทำอันดับให้ได้รับสิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นในศึกซูเปอร์ซีรีส์ มาสเตอร์ส ไฟนัล ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ให้ได้ ส่วนเป้าหมายระยะยาวไปจนถึงกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในอีก 3 ปีข้างหน้านั้น ปอป้อเล่าว่า ทีมงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝึกซ้อมด้านแบดมินตันและวิทยาศาสตร์การกีฬาเริ่มต้นวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมให้เราในทุกๆด้านแล้ว “ถ้าเรามีความฝันก็ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งกว่าจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก และรับฟังคนอื่น รับฟังทุกคำแนะนำจากโค้ชและทีมงานต่างๆ เพราะแค่พรสวรรค์ยังไม่พอ แต่จะต้องมีพรแสวงด้วย ถ้าถามว่าเคยท้อไหม ครั้งหนึ่งป้อเคยท้อนะ เพราะเราตั้งใจมาก แต่พอไปแข่งกลับไม่ได้อย่างที่เราหวัง ทำให้รู้สึกผิดหวัง อยากเลิก แต่ก็ได้ทุกคนคอยให้กำลังใจ” แม้ว่า “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย จะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา แต่ความสำเร็จยังไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะด้วยแววตายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เชื่อมั่นว่า เธอจะสร้างความสำเร็จให้วงการลูกขนไก่ไทยอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งแน่นอน