เมื่อเวลา 12.15 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง ข้อหาก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล เข้าไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมโดยมิชอบ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น ขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 268 มาตรา 266 (1)(2) และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง ข้อ15 พ.ศ.51 มีมูลส่อว่าจงใจในการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปี 50 และขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้ถูกถอดถอน ตามพ.ร.บ.ป.ป.ช.42 ด้วย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. ได้แถลงเปิดสำนวนว่า เมื่อ 25 ก.ค. 55 พล.อ.อ.สุกำพลได้นำพล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วย ผบ.ทบ.และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. เข้าพบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯเพื่อให้สนับสนุนพล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม จากนั้นในวันที่ 17 ส.ค.55 เวลา 10.00 น.ได้มีการเสนอชื่อพล.อ.ทนงศักดิ์ โดยไม่ได้มีการพิจารณาของคณะกรรมการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่มาพิจารณาในตอนบ่าย และมีการรับรองชื่อในวันที่ 20 ส.ค.ถือเป็นแทรกแซงและไม่ปฏิบัติตามมาตรา 25 วรรค 2 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551และข้อบังคับว่าด้วยการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหม ในข้อที่ 11 ทำให้พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือทักท้วงไปว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกลาโหมกำหนดไว้ เนื่องจาก พล.อ.ทนงศักดิ์ สังกัดกองทัพบก ตามข้อบังคับการแต่งตั้งของกระทรวงกลาโหมจากส่วนราชการหนึ่งไปอีกส่วนราชการหนึ่งต้องให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทำการตกลง แต่ปรากฏว่าไม่มีการตกลงใด ๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่มีอยู่มุ่งทำให้เกิดดุลภาพในเรื่องการบริหารกองทัพ ทั้งเรื่องการแต่งตั้งและห้ามเข้ามาล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้าย แต่การกระทำที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นเจตนาอย่างชัดเจนว่า พล.อ.อ.สุกำพลใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในหน้าที่ประจำของข้าราชการ ซึ่งไม่ใช่นโยบาย เป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักการ การบริหารที่ดี ย่อมทำให้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศขาดความศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจใช้บังคับได้ผล เป็นการทำลายความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน เป็นการทำลายระเบียบ มาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงสมควรถูกถอดถอนและตัดสิทธิ์การดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากนั้น พล.อ.อ.สุกำพล แถลงคัดค้านว่า การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลในวาระตุลาคม 2555 ยึดตาม พรบ.จัดระเบียบข้าราชการกลาโหม และข้อบังคับของกระทรวงกลาโหม โดย ขอให้หน่วยที่ขึ้นตรงต่างๆส่งรายชื่อนายทหารทั้งหมดที่จะโยกย้ายให้มาถึงที่สำนักงานปลัดกห. ภายในวันที่ 15 ส.ค.55 แต่เมื่อถึงกำหนดก็ไม่มีหน่วยไหนส่งรายชื่อมาเลย แม้แต่สำนักงานปลัดกห.ก็ไม่มี ตนต้องตัดสินใจ เพราะวาระการแต่งตั้งโยกย้ายในเดือนส.ค.จะเสร็จไม่ทันตามกำหนดก่อนที่จะให้สำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินต่อ ตนจึงได้ตัดสินใจนัดประชุม โดยให้ ปลัด กห.นัดประชุมด้วยวาจาในวันที่ 17 ส.ค.เวลา 10.00 น.และเป็นรับทราบทั้งหมด เว้นแต่ ผบ.ทอ. เท่านั้นไปราชการต่างประเทศ จึงไม่ได้เข้าร่วมประชุม แต่ตนได้แจ้งกับที่ประชุมว่า อยากหาข้อยุติในเรื่องปลัดกห.เพียงวาระเดียว เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในส่วนนี้ โดยมีการแจ้งชัดเจนว่าไม่ให้จดบันทึกการประชุม เพราะมีวาระเดียวจำเอาไว้และป้องกับความลับรั่วออกไป เพราะรั่วทุกปี พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวต่อว่า ตนขอโต้แย้งข้อกล่าวหาของปปช.ใน 6 ประเด็น ดังนี้ 1 การแต่งตั้งในวันที่ 17 ส.ค.55 ขอยืนยันว่าการประชุมดังกล่าวครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณาตำแหน่งปลัดกห.เพียงตำแหน่ง โดยตนเสนอชื่อ พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัด ส่วน พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกห.ให้ขณะนั้น เสนอ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัด กห. ซึ่งตนได้ถามที่ประชุมทีละคนว่า จะเลือกใคร ซึ่งมติที่ประชุมเห็นชอบ 4 ต่อ 1 เห็นชอบ พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกห.ตามที่ตนเสนอ ทั้งนี้ ยอมรับว่า ตนได้พูดว่า พล.อ.เสถียรส่งใครมา ตนจะเปลี่ยนทั้งหมดจริง แต่เป็นการพูดภายหลังจากมีมติ 4 ต่อ 1 แล้ว และ ผบ.ทบ. ผบ.สส. ผบ.ทบ. ผบ.ทร.ก็ยืนยันกับ ปปช.ว่า การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมที่ถูกต้องที่ชอบด้วยข้อบังคับทุกประการ แต่ปปช.กลับไม่ฟัง ไปฟังคนที่ไม่เข้าประชุม 2.การที่ ปปช.บอกว่า ตำแหน่งปลัดกห.ไม่ขึ้นตรงกับรมว.กห.ตนขอถามว่า ถ้าปลัดกห.ไม่ขึ้นตรงกับรมว.กห.แล้วจะขึ้นกับใคร 3.การที่ปชช.ระบุการประชุมเพื่อแต่งตั้งโยกย้าย ต้องจัดทำบัญชีรายชื่อทุกตำแหน่งเป็นบัญชีเดียว ซึ่งกฎระเบียบข้อบังคับไม่ได้กำหนดให้ต้องมีบัญชีรายชื่อเป็นบัญชีเดียวกันตั้งแต่การประชุมครั้งแรก แต่การประชุมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ก.ย.55 มีรายชื่อบัญชีรายทุกตำแหน่งในบัญชีเดียวกันครบตามที่กำหนด พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอีกว่า 4. ปปช.กล่าวหาว่า การแต่งตั้งปลัดกห.ไม่เป็นไปตามข้อบังคับนั้น ตนยืนยันว่า การประชุมครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 5 ก.ย.55 เป็นไปตามข้อบังคับทุกประการ และองค์ประกอบครบ โดยที่ประชุมมีมติ 4 ต่อ 1 เห็นชอบ พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกห.แล้ว 5.ปปช.กล่าวหาว่า การแต่งตั้งจะข้ามส่วนราชการไม่ได้นั้น ตนยืนยันว่า องค์ประชุมในวันนั้นมีองค์ประกอบจากทุกส่วนราชการของกห.มาร่วมประชุมแล้ว และที่ประชุมมีมติในเรื่องบุคคล อีกทั้ง รักษาปลัดกห.ในขณะก็ได้มีหนังสือขอตัว พล.อ.ทนงศักดิ์ จาก ทบ.เพื่อโอนย้ายมาสังกัด สำนักงานปลัดกห.แล้วด้วย และ 6.ปปช.กล่าวหาการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล รวมถึงปลัดกห.ให้พิจารณาตัวบุคคลในส่วนราชการนั้นๆเป็นลำดับแรกก่อน ตนขอยืนว่า ในการประชุมวันที่ 17 ส.ค.55 คนเสนอชื่อ 2 คนให้ที่ประชุมพิจารณา คนหนึ่งมาจาก ทบ. อีกคนมาจากสำนักงานปลัดกห. ซึ่งการพิจารณาความเหมาะสมต้องให้เกียรติคณะกรรมการที่พิจารณา ซึ่งพิจารณาว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ เหมาะสม คนเป็นฝ่ายการเมืองเพียงเสียงเดียวไม่สามารถไปสั่งใครได้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องคณะกรรมการใช่เรื่องของตน “ทั้งหมดเป็นรายละเอียดที่ผมรับผิดชอบตามที่ได้รับมอบหมายแต่หากสนช.สงสัยว่าสิ่งที่ผมพูดจริงหรือไม่ ขอให้สอบถามกับ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ อดีตผบ.ทร ซึ่งเป็น สนช.ในขณะนี้ดูก็ได้ เพราะพล.ร.อ.สุรศักดิ์ นั่งประชุมร่วมกับตนทั้งวันที่ 17 ส.ค. และ 5 ก.ย.55 หรือจะถาม พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ อดีต ผบ.ทอ.ก็เป็น สนช.อยู่ด้วยก็ได้ ส่วนที่กล่าวหาที่ว่าผมพา พล.อ.ทนงศักดิ์ กับ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ไปพบนายกฯ ก็เพราะอยากรู้จักเท่านั้นเอง ที่ผ่านมารู้จัก แต่ 5 เสือไม่รู้จักเสือตัวเล็กๆเลย และหลักเข้าพบก็ไม่ปิดบังอะไร นักข่าวเห็นหมด และ ทั้ง 2 คนให้การกับปปช.ว่า นายกฯก็ไม่ได้พูดเรื่องการแต่งตั้งเลย” พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว