“ป.ป.ช.”ขันน๊อตมาตรการเอาผิดนักการเมืองท้องถิ่นหลังถูกชี้มูล ชงข้อมูล มท.ฟันพร้อมฟ้องอาญา-แพ่ง แนะ กกต.ยึดฐานข้อมูลทุจริตพิจารณาคุณสมบัติ ไม่ให้กลับมาสมัครใหม่ พร้อมเสนอครม.แก้กฎหมายกำหนดคุณสมบัติ วันที่ 28 มิ.ย. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า จากกรณีที่ประชาชนตั้งคำถามว่าเหตุใดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดแล้ว ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือบางรายหมดวาระหรือพ้นตำแหน่งไปแล้วยังกลับมาสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับเลือกอีกนั้น จากสถิติตั้งแต่พ.ศ. 2542 – ก.ย.2558 พบว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดจำนวนทั้งสิ้น 409 ราย แบ่งตามประเภทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบล 262 ราย เทศบาล 114 ราย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 27 ราย และกรุงเทพมหานคร 6 ราย แต่ในจำนวนดังกล่าว ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนไม่สามารถสั่งให้พ้นจากตำแหน่งได้ด้วยเหตุเพราะผู้นั้นพ้นตำแหน่งไปแล้วหรือลาออกไปก่อนถึง 171 ราย ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพ ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นชอบให้เสนอมาตรการการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง ให้สำนักไต่สวนการทุจริต รายงานผลการสอบสวนและคำสั่งลงโทษให้สำนักงาน ป.ป.ช.ทราบ และให้รวบรวมข้อมูลรายงาน เอกสาร พร้อมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นทั้งหมด ส่งไปยังกระทรวงมหาดไทย และเสนอให้คณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาข้อมูลรายงาน ของ ป.ป.ช.ในเรื่องดังกล่าว โดยมอบหมายนายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนและวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพ และนำผลการสอบสวนดังกล่าวไปสู่การดำเนินคดีในทางอาญาหรือทางแพ่งต่อไป รวมทั้งเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) พิจารณาข้อมูลของ ป.ป.ช.ในเรื่องดังกล่าว นำมาประกอบการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง นายสรรเสริญ กล่าวต่ออีกว่า ป.ป.ช.จะพิจารณาปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้มีบทบัญญัติในการดำเนินการต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น สามารถดำเนินการทางวินัยหรืออยู่ในบังคับมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 234 (1) และมาตรา 235 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และมีผลทำให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก และยังเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496 พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 โดยเพิ่มบทบัญญัติ “การไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต” กำหนดเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในทุกตำแหน่งเช่นเดียวกับการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามใน พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537