เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 ก.ค.59 พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.สมพาน สุขสำราญ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.ปวัชร์ชัย สุดสคร รอง ผกก.ป. และ พ.ต.ต.ปิยะพงษ์ เอนสาร สว.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท. พร้อมกำลังตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองพัทยา และตำรวจท่องเที่ยว แถลงข่าวจับกุม 6 ผู้ต้องหาชาวไทยและลาว ซึ่งมีทั้งสาวแท้ สาวเทียม ที่ร่วมกันก่อเหตุปล้นทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประกอบด้วย นายณภัชชา หรือบี ชนธัญอธิศา อายุ 32 ปี นายภัทร (พัด-ทะ-ระ) หรือแต้ ภักดีคำ อายุ 28 ปี นายวรนิษฐา หรือเจน พันธุ์สุรี อายุ 20 ปี ส่วนอีก 3 คนเป็นชาว สปป.ลาว ประกอบด้วย น.ส.สุขสากร เก้าปัญยา อายุ 22 ปี สัญชาติลาว 5.น.ส.สิงดาลา หรือโบว์ วงสุวัน อายุ 28 ปี สัญชาติลาว และ 6.นายบุญถนอม หรือน้อง ลินทาคาน อายุ 28 ปี สัญชาติลาว สืบเนื่องจากเมื่อกลางดึกวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีนายทีโอ โพ ยอง (Mr.Teo Poh Yong) นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ว่าถูกกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งเป็นหญิงสาวแท้ๆ และสาวประเภทสอง ทั้งชาวไทยและชาวลาว ที่รู้จักพูดคุยกันผ่านแอพพลิเคชั่น “วีแชท” (WeChat) ใช้เครื่องช๊อตไฟฟ้าข่มขู่บังคับเอาเงินสดจำนวน 18,000 บาท เหตุเกิดภายในโรงแรมบารอนบีช หลัง สภ.เมืองพัทยา ซอยพัทยา 9 ถ.เลียบชายหาดพัทยา ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา ร่วมกับตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองพัทยา ติดตามไปควบคุมตัวทั้งหมดได้ที่ห้องพัก สอบสวนนายภัทร ให้การปฏิเสธว่าตนเองกับเพื่อนๆ ไม่ได้ใช้เครื่องช๊อตไฟฟ้าปล้นเอาเงินของนายทีโอ นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่ารู้จักพูดคุยกันผ่านแอพพลิเคชั่นวีแชท โดยในวันเกิดเหตุนายทีโอ ได้นัดหมายให้พวกตนเดินทางมาหาที่ห้องพักในโรงแรม เพื่อจ้างให้นั่งสังสรรดื่มสุราเป็นเพื่อน และมีการตกลงค่าเสียเวลาไว้จำนวน 18,000 บาท ซึ่งพวกตนก็ได้ยื่นบัตรประชาชนให้พนักงานต้อนรับที่ล็อบบี้ตามกฎอย่างถูกต้องทุกอย่าง หลังจากหมดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ผู้เสียหายก็ได้ลงมาส่งถึงล็อบบี้ แต่ต่อมาภายหลังเกิดมีปัญหากับนายทีโอ เรื่องค่าโรงแรม ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าทำไมจึงไม่เคลียร์กันตั้งแต่วันนั้น แต่กลับมาแจ้งความตำรวจหาว่าพวกตนใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าขู่เอาเงิน หลังตำรวจโทรศัพท์มาแจ้งให้เข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา พวกตนก็มาโดยไม่ได้หลบหนีไปไหน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และจะขอต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด พร้อมกับแจ้งความกลับให้ดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียรายนี้ในข้อหาแจ้งความเท็จ เพราะทำให้พวกตนเดือดร้อนและได้รับความอับอาย.