จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้านท่องเที่ยวโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมต่างเปลี่ยนแผนปรับรูปแบบการทำงาน เช่นเดียวกับ โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ ต้องขยับจากแผนเดิมที่จะเปิดบริการในเดือนมีนาคมมาเป็นวันที่ 1 ตุลาคมนี้ โดยมุ่งเน้นเจาะกลุ่มตลาดในประเทศ ทั้งกลุ่มสัมมนา จัดเลี้ยงแต่งงาน อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งทาง นายจอห์น บลังโก ผู้จัดการโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ เจาะกลุ่มเลเชอร์ที่มีศักยภาพ โดย นายจอห์น บลังโก ผู้จัดการโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ กล่าวว่า ตลาดในประเทศเวลานี้มุ่งเจาะกลุ่มเลเชอร์ที่ต้องการพักผ่อนในพื้นที่ส่วนตัว และมีศักยภาพในการใช้จ่าย ไม่ต้องเดินทางไกล และมีบริการที่ยอดเยี่ยม ส่วนในตลาดงานแต่งงานนั้น เนื่องจากโรงแรมมีห้องบอลรูมขนาดใหญ่เพดานสูงที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่ จึงทำให้เป็นที่สนใจของกลุ่มงานแต่งที่ต้องเลื่อนจัดงานมาเป็นช่วงหลังโควิด -19 ทั้งนี้มียอดจองจัดงานแต่งเข้ามามากกว่า 15-20 งานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อีกทั้งในช่วงนี้ทางโรงแรมมุ่งเน้นนำเสนอแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม โดยทางโรงแรมมีร้านอาหารโค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค สไตล์อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนจากเชฟมิชลินสตาร์ 3 ดาวเป็นตัวชูโรงร่วมกับห้องอาหารไทยพระนคร และ สเตลลา ค็อกเทลบาร์ที่ให้บริการเครื่องดื่มและขนมหวานสไตล์โอมากาเสะ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทำความรู้จักกับโรงแรมที่เพิ่งเปิดได้ประททับใจ ทั้งนี้ทางโรงแรมได้ให้บริการ ด้วยการชูกลยุทธทางด้านราคาออกแพ็คเกจ Capella Bangkok Staycation ราคาเริ่มต้นคืนละ 17,500 บาท พร้อมมอบเครดิตมูลค่าราว 50% ของราคาห้องพักให้ลูกค้านำมาใช้เป็นส่วนลดค่าห้องพักหรือใช้บริการห้องอาหาร บาร์ หรือกิจกรรมเวลเนสอื่นๆ ซึ่งลูกค้าสามารถจ่ายค่าที่พักถูกลง และใช้บริการอื่นๆ ได้ฟรีตามเครดิตที่ได้รับ มีกระแสเงินสดมากกว่า 9 เดือน ซึ่ง นายจอห์น กล่าวต่อว่า หลังจากได้ปรึกษากับเจ้าของโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย จึงทำให้ทางบริษัทฯ มีความมั่นใจได้ว่า จะยังคงมีกระแสเงินสดมากกว่า 9 เดือนเพื่อดำเนินการตามแผนการตลาดที่วางไว้ยาวไปถึงไตรมาส 2 ของปี 2564 ด้วยแบรนด์ของโรงแรมระดับลักชัวรี่ที่จำเป็นต้องอาศัยเวลาในการทำตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแบรนด์ที่พึ่งเข้ามาทำตลาดในไทย ขณะที่เกิดวิกฤตการณ์ดังกล่าวขึ้น แต่ทั้งนี้มุ่งหวังที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในไทยประมาณช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ผ่านการนำเสนอที่เกี่ยวกับเส้นทางประวัติศาสตร์ย่านเมืองเก่าของเจริญกรุงที่มีจุดเชื่อมต่อกับเยาวราช ที่มีร้านอาหารและคาเฟ่จำนวนมาก ขณะที่แผนการตลาดระยะยาวนั้นตั้งเป้าดึงตลาดเอเชียที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และเดินทางตลอดทั้งปีเป็นตลาดหลัก ควบคู่กับตลาดระยะไกลที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง และมีการพำนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่มักจะเดินทางตามฤดูกาล ซึ่งหลังจากรัฐบาลไทยเตรียมเปิดประเทศอย่างจำกัด และอนุมัติให้เกิด Special Tourist Visa (STV) ไปเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทางโรงแรมก็คงจะดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าว มั่นใจในจุดขายที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม นายจอห์น กล่าวต่อว่า ถึงแม้สถานการณ์การท่องเที่ยวจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก และมีการแข่งขันในตลาดลักชัวรี่กันดุเดือด แต่ทางโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ ยังมั่นใจในจุดขายที่ชัดเจนในฐานะรีสอร์ตกลางเมืองที่ให้ ประสบการณ์แบบเฉพาะ ด้วยจำนวนห้องเพียง 101 ห้อง แต่ให้บริการในระดับที่เท่ากันหรือมากกว่า ซึ่งแตกต่างกับโรงแรมขนาดใหญ่ริมน้ำเจ้าพระยาระดับลักชูรี่เดียวกัน แต่มีห้องพักไม่ต่ำกว่า 300 ห้อง นอกจากนี้ยังมั่นใจถึงระบบการบริหารจัดการสาธารณสุขของประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางตลาดมากนัก เพราะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังตั้งเป้าที่จะกลับมาเที่ยวในเมืองไทยก่อนพื้นที่อื่นๆ ซึ่งแผนการตลาดในอนาคตประมาณ 2-3 ปี ทางคาเพลลาฯ เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ที่เชียงใหม่ ด้วยขนาดห้องพักประมาณ 50 ห้อง