หมายเหตุ : เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาสถานศึกษาต้นแบบ เพื่อส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ สำหรับเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ (Health literacy) ในช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) ภายใต้การบูรณาการร่วมกับเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ เพื่อการสร้างสุขภาวะในโรงเรียน ในประเด็นการอ่านออกเขียนได้สำหรับเสริมสร้างความรู้ทางสุขภาพ...ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจนำเสนอดังนี้ นางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัวของ สสส. ได้สะท้อนถึงสถานการณ์การอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของนักเรียนในปี 2555 ว่า เด็ก ป.1อ่านไม่ออก 5.71% เขียนไม่ได้ 7.63% ซึ่งปัญหานี้จะส่งผลถึงความสามารถและทักษะของเด็กเมื่อโตขึ้นได้ ทั้งความสามารถด้านการเรียนรู้ ความฉลาด/ความรอบรู้ทางสุขภาพ (Health literacy) ด้าน ดร.วิภา ตัณฑุลพงษ์ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหาและส่งผลต่อการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน ซึ่งต้องเร่งแก้ไข 5 ปัญหา ได้แก่ 1.ความหลากหลายของภาษาที่ใช้ในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 70 ภาษา ส่งผลต่อการเรียนการสอนภาษาไทย 2.กระแสความเจริญของเทคโนโลยีการสื่อสาร ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้านอื่น ๆ ทำให้ละเลยการเรียนภาษาไทย 3.เด็กจำนวนหนึ่งอยู่ในครอบครัวยากจนขาดโอกาสไปโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขาดการฝึกฝนการอ่านและเขียน 4.ผู้สอนภาษาไทยบางส่วนขาดองค์ความรู้และวิธีสอนภาษาไทย และ 5.นักเรียนอ่านเขียนภาษาไทยไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของหลักสูตรและความเหมาะสมตามช่วงวัย "การสอนภาษาไทยให้ได้ผลจะต้องใช้รูปแบบและวิธีสอนที่หลากหลาย มีการผสมผสานทั้งการแจกลูกสะกดคำ สอนโดยวิธีมุ่งเสริมสร้างประสบการณ์หรือวิธีการใดๆ ที่ทำให้นักเรียนวัยเริ่มเรียน โดยเฉพาะชั้น ป.1-3 อ่านออก เขียนได้ และต้องสอนจากง่ายไปหายาก พร้อมทั้งส่งเสริมการเขียน และคัดลายมือ โดยเฉพาะชั้น ป.1 ส่วนชั้นอื่น ๆ นอกจากคัดลายมือแล้วต้องส่งเสริมการเขียนเรียงความ ย่อความและสรุปความ สำหรับทักษะการอ่านที่ครูต้องสอน คือ การอ่านคำและรู้ความหมายของคำ การอ่านจับใจความ การอ่านออกเสียงให้ชัดเจน การอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้ การฝึกให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน และการอ่านเพื่อให้คุณค่าและเกิดความซาบซึ้ง โดยประเด็นปัญหาสำคัญ จงหยุดเข้าใจว่าปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เป็นหน้าที่ของครูภาษาไทยเท่านั้น แต่ครูทุกคนต้องเป็นต้นแบบการสอนและใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง และครูทุกวิชาต้องสอนภาษาไทยแบบแจกลูกสะกดคำได้ทุกคน" ดร.วิภา กล่าวและว่า เด็กทุกคนต้องเผชิญกับรอยเชื่อม 3 ระยะ คือ 1.รอยเชื่อมต่อระหว่างบ้านและสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล 2.รอยเชื่อมต่อระหว่างชั้นเรียนอนุบาลและประถมศึกษา และ3.รอยเชื่อมต่อระหว่างชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทั้งนี้...รอยเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดคือ ระยะที่ 2 ระหว่างชั้นอนุบาลและประถมศึกษา ซึ่งจะต้องมีการเตรียมความพร้อมเด็กในช่วงรอยต่อนี้ โดยต้องได้รับความร่วมมือจากครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมถึงบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง เพราะหากเด็กสามารถปรับตัวได้ในช่วงนี้จะทำให้เด็กสามารถเรียนรู้และมีพัฒนาการที่ก้าวหน้า ..แต่ในทางตรงกันข้ามหากเด็กปรับตัวไม่ได้ อาจเป็นอุปสรรคประการสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กได้เช่นกัน