“เอไอเอส” จับมือ “ไมโครซอฟท์”พร้อมให้บริการครั้งแรกของไทย “โครงข่ายสำหรับประเทศไทย เพื่อบริการคลาวด์ไมโครซอฟท์ที่เสถียรและปลอดภัยระดับโลก” วันนี้ นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น และ เอไอเอส ร่วมพัฒนา “โครงข่ายสำหรับประเทศไทย เพื่อบริการคลาวด์ไมโครซอฟท์ที่เสถียรและปลอดภัยระดับโลก” พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้งานคลาวด์บนเครือข่ายของเอไอเอส โดยภายใต้ความร่วมมือนี้ เอไอเอสจะเป็นพันธมิตรรายแรกของไมโครซอฟท์ในประเทศไทยที่มีความร่วมมือกัน ทั้งในด้านโครงสร้างเทคโนโลยีพื้นฐาน ด้านธุรกิจ และการบริการลูกค้า ครอบคลุมตั้งแต่ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ไปจนถึงผู้บริโภคทั่วไป เพื่อมอบประสิทธิภาพการใช้งานบริการคลาวด์ที่เหนือกว่า ด้วยศักยภาพของโครงข่ายสำหรับประเทศไทยดังกล่าว จึงทำให้เอไอเอสและไมโครซอฟท์สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้กับลูกค้าคลาวด์ของไมโครซอฟท์ในประเทศไทย ด้วยระบบเครือข่ายที่มีการทำงานผสานกันในด้านเทคโนโลยีเชิงลึก มอบความเสถียรภาพสูงสุด พร้อมดูแลความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อปกป้ององค์กรจากภัยทางไซเบอร์ ลดความยุ่งยากเรื่องการจัดการกับค่าใช้จ่ายโดยการรวบรวมค่าบริการคลาวด์เชื่อมต่อไว้ในบิลเดียว และมีบริการหลังการขายระดับมืออาชีพสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร พร้อมทั้ง ยกระดับการใช้งานบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ให้กับลูกค้าทุกรายในประเทศไทย ดังนี้ 1. ลูกค้าองค์กรที่ใช้งานบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Azure, Office 365, Dynamic 365, EMS ผ่านเครือข่าย EDS (Enterprise Data service) หรือ Corporate Internet ของ AIS สามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ในทันที ซึ่งแต่เดิมจะต้องเสียค่าใช้จ่าย International bandwidth เพื่อเชื่อมต่อไปยัง Data center ของไมโครซอฟท์ที่อยู่ต่างประเทศ 2. ลูกค้า AIS ที่ใช้งานบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์บนมือถือผ่าน 3G/ 4G/ AIS Wifi network เช่น Outlook, OneDrive, Skype for business และลูกค้า SME ที่ใช้งานบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ผ่านเครือข่าย AIS Fibre จะได้รับประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีขึ้น 3. ลูกค้าที่ใช้งานบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ (Office 365, Azure, Dynamic 365, EMS) ในประเทศไทยที่มีการใช้งานบนเครือข่าย AIS จะสามารถเชื่อมต่อและใช้งาน applications ต่าง ๆ ของไมโครซอฟท์ได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการทำงานผสานกันของเครือข่ายเอไอเอสกับแพลตฟอร์มคลาวด์ของไมโครซอฟท์ “Digital Transformation ได้กลายเป็นปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบตัวเรา และในวันนี้ เราอาจกล่าวได้ว่าแพลตฟอร์มคลาวด์ที่เปี่ยมด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะและความปลอดภัยของข้อมูลเป็นกุญแจสำคัญในการพาธุรกิจก้าวสู่ความสำเร็จในยุคไทยแลนด์ 4.0 แต่ในขณะเดียวกัน การจะใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ให้เต็มศักยภาพนั้น ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายที่มีศักยภาพระดับโลก และมาตรฐานความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือภัยทางไซเบอร์รูปแบบต่างๆ ดังนั้นด้วยความร่วมมือของเรากับเอไอเอส ผมมั่นใจว่าจะช่วยให้ลูกค้าได้พบกับประสบการณ์การทำงานบนคลาวด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ใหม่ที่สุด” นายธนวัฒน์ กล่าว สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “แต่ในขณะเดียวกัน การจะใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ให้เต็มศักยภาพนั้น ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายที่มีศักยภาพระดับโลก และมาตรฐานความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือภัยทางไซเบอร์รูปแบบต่างๆ ดังนั้นด้วยความร่วมมือของเรากับเอไอเอส ผมมั่นใจว่าจะช่วยให้ลูกค้าได้พบกับประสบการณ์การทำงานบนคลาวด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ใหม่ที่สุด” นายปรัธนา ลีลพนัง รักษาการ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นเช่นเดียวกับไมโครซอฟท์ในศักยภาพของเทคโนโลยีคลาวด์ ในการขับเคลื่อนให้องค์กรต่างๆ สามารถพลิกโฉมธุรกิจของตนเองได้ และเราก็มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำเสนอประสบการณ์คลาวด์ที่เต็มสมรรถนะกว่าใครให้กับลูกค้าในทุกระดับ นับตั้งแต่ผู้ใช้งานทั่วไปที่บ้าน ไปจนถึงธุรกิจ SME และองค์กรขนาดใหญ่ ในฐานะผู้ให้บริการด้านดิจิทัลอันดับหนึ่งของไทย เอไอเอสพร้อมมอบเครือข่ายที่ดีที่สุด ที่ครอบคลุมประชากรถึง 98% ทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ได้ บนเครือข่ายชั้นยอด ที่เพียบพร้อมทั้งในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ “นอกเหนือจากความสะดวกสบายในการสมัครและชำระค่าบริการผ่านทางช่องทางเดียวแล้ว เรายังมั่นใจอีกว่าความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ในครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนการใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ในประเทศไทยให้แพร่หลายมากขึ้น อันถือเป็นการเสริมศักยภาพให้คนไทยได้สร้างสรรค์ผลงานเพื่อนำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้า ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป”