"ถ้าเกิดผมไม่เลือกที่จะเต้น ผมอาจจะไปอยู่ในคุกแล้วก็ได้นะมันอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ให้สัมภาษณ์แบบนี้มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นตัวแปร"
ช่วงนี้ถือเป็นเวลาทองของ "ฮั่นเดอะสตาร์"หรือิสริยะ ภัทรมานพ เมื่อซิงเกิลใหม่ "ร้ายกาจ" กับค่ายจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ที่เขาได้ทำงานเองทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง รวมทั้งมิวสิกวิดีโอ เพิ่งจะปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ขณะที่ ซีรี่ส์"Bangkok รัก Stories" ตอน "แพ้ทาง"ของค่ายจีเอ็มเอ็ม บราโว่ ก็เพิ่งออกอากาศตอนแรกไปเมื่อวันที่ 16 ก.ค. แต่กว่าจะมีชื่อเสียง และได้รับโอกาสในวงการบันเทิงอย่างทุกวันนี้ "ฮั่น"เอง ก็เป็นอีกคนที่ต้องผ่านช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่อันตรายหมิ่นเหม่ระหว่างเส้นทางสู่หุบเหว กับดวงดาว....... ก่อนจะมาเป็นเดอะสตาร์ ฮั่นเป็นวัยรุ่นแบบไหน เป็น "เด็กแว้น"คือชีวิตช่วงนั้นมันได้ประสบการณ์หลายอย่างทั้งเรื่องความประมาทในการใช้ชีวิต ความคึกคะนอง รวมทั้งสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เราก็ทำมาหมดแล้ว ที่พูดแบบนี้ไม่ได้เป็นการแสดงว่า ตัวเราเก่งที่ไปทำอะไรไม่ดี และไม่ได้ต้องการจะบอกว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ดีไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่เราพบเจอมา ถ้าเกิดว่า มันย้อนเวลากลับไปได้คงดี ซึ่งความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ในวันนี้ผมคงเป็นเหมือนคุณครู ที่บอกกับเด็กรุ่นหลัง หรือรุ่นน้องที่เขาฟังเรา ว่าสิ่งที่เราผ่านมาแต่ละอย่าง มันไม่ดี ถ้าทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เขาเรียกว่าเป็นอุทาหรณ์ให้รุ่นน้อง แล้วตัวเรามาคิดได้ช่วงเวลาไหน ที่ว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่ทำแบบนั้น มาคิดได้ในช่วงที่เริ่มทำงานแล้ว ความคิดเริ่มเปลี่ยนมันไม่ได้แค่สนุกไปวันๆ แล้วมันพิสูจน์อะไรหลายๆอย่างการทำงานช่วงแรกๆ มันไม่ได้ชัดเจนหรอกว่า เราเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน มันก็ยังมีเรื่องของอารมณ์ที่มันรุนแรงอยู่ในทุกช่วง แต่เวลาเราทำงานมันต้องมีการผ่อนหนักผ่อนเบากับคนที่เราทำงานด้วย เมื่อก่อนเราอยู่กับเพื่อนใครว่าเรา เราก็เฮโลไปเลย แต่เมื่อมาทำงานเขาว่าเรา เราทำแบบนั้นไม่ได้ มันก็ต้องมาทบทวน คิดมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น รู้จักหันมามองตัวเอง ว่าทำผิดอะไรให้เวลาตัวเอง ที่จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวต่อไปในการทำงาน จากสายแว้นมาสายเต้นได้อย่างไร และการเต้นมันเปลี่ยนชีวิตเราไปมากน้อยแค่ไหน ผมว่าเปลี่ยนเยอะ เปลี่ยนจนมาเป็นอย่างทุกวันนี้ ถ้าเกิดผมไม่เลือกที่จะเต้น ผมอาจจะไปอยู่ในคุกแล้วก็ได้นะ มันอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ให้สัมภาษณ์แบบนี้ มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นตัวแปร ไม่ว่าจะเป็นคุณครูที่เขาคอยผลักดันเห็นว่าเราไม่เอาถ่านอยู่แล้วแต่เขาก็ยังช่วยเคี่ยวเข็ญเขาอยากให้เราคิดได้ เขาคงมองว่า เด็กคนนี้ คิดเป็น ตอนนั้นพอประกวดเต้นชนะ ก็ได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นครั้งแรกไปเรียนประมาณ 20 วัน แต่ว่าโอกาสในวงการบันเทิงก็มาพร้อมๆกัน มาตอนที่ผมจะได้ไปที่ญี่ปุ่น มีพี่เขาเอานามบัตรมาให้ ตอนนั้นเราก็ปิดกั้นตัวเอง ตั้งแง่ว่าเขาคงจะมาขายคอร์สให้เราเสียเงินเรียนหรือเปล่า แต่วันดีคืนดีก็รู้สึกว่าตัวเอง ว่างเกินไป ไม่รู้จะทำอะไร นอกจากเล่นเกมไปวันๆ แล้วออกไปขับรถกับเพื่อน อยู่ดีๆ ก็ตัดสินใจว่าลองไปเรียนดูจุดหักเหตอนนั้น คิดว่าคงอยากหาอะไรทำมากกว่า เพราะเล่นเกม ก็เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่พอมาเรียนโอกาสก็เข้ามาเร็วมากๆ ผมมาเรียนได้ไม่ถึงคอร์ส แค่2-3 ครั้ง เขาก็ให้ผมไปออดิชั่นและได้งานถ่ายมิวสิกวิดีโอของ พี่บี้ สุกฤษฎิ์ เพลง Ineed somebody หลังจากนั้นมาก็ได้ทำงานมาตลอด ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างรวดเร็ว ถามว่ารวดเร็วไหม จากวันนั้นถึงวันนี้ สำหรับผมมองว่าไม่เร็ว แต่หลายคนอาจจะมองว่า มันก้าวกระโดด แต่ก่อนหน้าที่ผมจะมาเป็นแดนเซอร์ และเป็นนักร้องดารา ถึงทุกวันนี้ ผมโดนปฏิเสธมาเยอะมากไปแคสต์งานโฆษณากับเพื่อนๆ แป๊บเดียวเพื่อนๆ ได้งานแล้ว แต่ของผมไปประมาณ50-60 ที่ ผมไม่เคยได้เลยแม้แต่งานเดียวไม่ว่าจะเป็นเวทีประกวดต่างๆ ที่ผมไปประกวด ยังร้องเพลงไม่จบประโยคเลย เขาก็ไม่ฟังแล้ว ตอนนั้นรับมือกับความผิดหวังอย่างไรแล้วทำไมยังมาประกวดเวทีเดอะสตาร์อีก อาจจะเป็นเพราะตัวเอง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างชัดเจน ผมขีดเส้นว่า ถ้าอายุผมเกิน 25 ปี ผมจะไม่ฝักใฝ่เกี่ยวกับงานในวงการบันเทิงแล้ว คือมันมีความฝัน ที่เป้าหมายชัดเจนว่าเราอยากเป็นนักร้องมาตั้งนานแล้ว แต่มันก็เฟลมาหลายที อัลบั้มจะออกสุดท้ายตัดเราออก มันก็มี แต่ว่าพอเป้าหมายชัดเจนแล้ว เราก็พยายามไปเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ มันมาได้ด้วยตัวของมันเองเพราะผมเคารพตัวเอง และผมเชื่อในสิ่งที่ผมมี เลยพามาถึงตรงนี้ได้ กับบทบาทในซีรี่ส์ จากมหานครซ้อนรักโสดสตอรี่ และ Bangkok รัก Stories มักจะได้รับบทผู้ชายเจ้าชู้ จริงๆ มันมีความต่างกัน พอเราเล่นในแต่ละตัวละคร มันจะมีรายละอียดของตัวละครนั้นๆ ถ้าคนดูเกิดไม่ได้ดูจริงๆ หรือได้ดูบางตอน เขาก็จะบอกว่า เจ้าชู้อีกแล้วแบดบอยอีกแล้ว ในบทเปลือกภายนอกของตัวละครที่ผมเล่นส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กันหมด แต่ในรายละอียด ลักษณะนิสัยส่วนตัว และปัญหาที่เจอแตกต่างกันค่อนข้างเยอะ ในแต่ละตัวละครมีความซับซ้อนแตกต่างกันไป มีลักษณะนิสัยของตัวละครตัวไหน ที่ใกล้เคียงกับตัวจริงบ้างไหม ในทุกตัวละคร ก็มีหมด แค่มันเคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหนเท่านั้น และเราหยิบจับมันมาใช้ในตัวละครนั้นๆ ได้ถูกต้องเพราะเขาบอกว่า เวลาเราแสดงนั้น คนที่มีประสบการณ์ชีวิตมาก คนนั้นคือคนที่ได้เปรียบในการแสดงละคร เพราะว่าเราสามารถหยิบเอาประสบการณ์ในชิวิตจริง มาใส่ในตัวละครได้ เหมือนเราเคยพบเจอมาก่อน การที่เราเล่นในซีนนั้น มันจะเข้าใจได้ง่ายกว่า คนที่ไม่เคยพบเจอมา มีคำพูดที่ว่าเอาตัวละครมาสอนตัวเองฮั่นคิดว่าอย่างไร ผมเอาตัวละครมาสอนตัวผมเองอีกทีหนึ่ง ถ้าในฐานะคนดู เขาเอาตัวละครมาสอนตัวเอง ส่วนเราในฐานะที่เป็นนักแสดง ก็จะเรียนรู้ไปพร้อมกับตัวละคร บางทีตัวละคร จะพาผมไปทางนี้ ต่อให้เราฝืนแค่ไหนว่าเราจะไปอีกทาง มันก็ไม่ใช่ เพราะว่าละครมันจะมีตั้งแต่ ep1 เช่น "แพ้ทาง"มีถึง ep13 เพราะฉะนั้นคนดูเขาจะจับได้แล้วว่า เราเริ่มเล่นไม่ตรงคาแรกเตอร์ของตัวละคร จริงๆ แล้วยังมีบทบาทไหน ที่เราอยากได้ลองเล่นบ้าง คงต้องคนละขั้วเลยเหมือนให้ผม ไปเป็นตำรวจ ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องผู้หญิงเลยอาจมีนางเอกคนหนึ่ง เป็นตัวแปร อย่างนี้ก็ได้ คือมันต้องฉีกออกไปจากตรงนี้เลยต้องไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะไม่อย่างนั้น คนก็จะมองคล้ายๆ เดิม หรือบทคนโรคจิต อาจเป็นแนวแบบนักเลง ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำให้คนได้เห็น ยังมีงานอะไรในวงการบันเทิงที่อยากทำอีกบ้าง ทุกวันนี้ ผมค่อนข้างเพียงพอในสิ่งที่คาดหวังไว้ มองว่าหลังจากนี้ คือทำทุกๆงานและทุกโอกาสที่เราได้รับอย่างเต็มที่เพราะ 5 ปีที่ผ่านมา ที่ทำงานในวงการบันเทิง มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คนที่จะอยู่ในวงการบันเทิงได้ มันอยู่ที่ผลงาน หมายความว่า ทำทุกๆ งาน อย่างเต็มที่ ทำด้วยใจจริงๆและไม่ได้ทำด้วยใจอย่างเดียว งานต้องออกมามีคุณภาพด้วย คนร่วมงาน ทีมงานทุกคนรอบตัวเรา เวลาเขาทำงานกับเราเขาก็จะนึกถึงเรา มีไอดอลในการทำงานไหม ไม่ได้ตอบเอาใจกันเอง แต่นี่เรื่องจริงคือ "พี่บี้" เพราะเราทำงานกับเขามาตั้งแต่วันแรก ตั้งแต่ที่เขายังไม่เป็นอะไรเลยผมได้งานแรก พี่บี้ก็ได้ทำงานแรกเช่นกันแล้วตั้งแต่วันนั้น เขาเต้นไม่เป็น มาจนถึงวันนี้เขาทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่วันนั้นทุกคนว่าเขาร้องเพลงไม่เพราะ เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ เขาทำได้ทุกอย่างมันคือความพยายาม ฮั่นเองก็เป็นไอดอลของวัยรุ่นหลายๆคนที่ติดตามเรา การใช้ชีวิตในโลกจริงและโลกโซเชียลต้องคิดมากขึ้นไหม ผมใช้ชีวิตปกติ ก็เหมือนคนทั่วไป ไปไหนมาไหน ก็เหมือนคนคนหนึ่ง ไม่ได้มีความรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าใคร ต่อแถวกินข้าวกัน ผมก็ต่อแถวด้วย ปกติเราก็แค่เป็นหนึ่งคนที่ทำงานในวงการบันเทิง ออกมาให้ทุกคนได้เห็น เท่านั้น แต่ในพื้นที่สาธารณะเวลาเราไป ก็เป็นคนธรรมดาที่เดินไปเดินมาถ้าใครทักทาย ผมก็ยกมือไหว้ตามปกติ ถึงผมไม่รู้จักเขา แต่เขาอาจจะรู้จักผม ทุกวัน นี้เราทำงานแบบนี้ จะมาทำอะไร แล้วอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน มันก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แล้วในโลกโซเชียล เราใช้มันอย่างไร คือผมเคยเขียนไว้ในทวิตเตอร์ หรืออินสตาแกรมว่า อย่าให้โลกโซเชียลมาเปลี่ยนแปลงตัวเราเองมากเกินไป จนสุดท้ายเราอาจจะไม่รู้ตัวตนของเรา ว่าเราคืออะไร ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้บางคนคิดว่ายอดไลค์ เป็นทุกอย่างของชีวิต คิดว่ายอดไลค์เยอะ จะทำให้มีความสำคัญในสังคม ฉันคือป๊อปของทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นความเข้าใจผิดๆ คนชอบคุณ คนรักคุณ แต่ต้องดูด้วยว่า ในสภาพแวดล้อมที่มันเป็นอยู่จริงๆ คุณควรจะทำตัวอย่างไร ยิ่งคนชอบคุณเยอะเท่าไหร่ คุณต้องเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเขา ทุกอย่างมันมีบรรทัดฐานอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่ยอดไลค์เยอะ ฉันจะทำในสิ่งที่ไม่ดีก็ได้ มันก็ไม่ใช่ ต้นแบบที่ดีมีให้ดูเยอะแยะไป ในโลกโซเชียล ฮั่นต้องระวังมากขึ้นไหม ผมคิดอะไรก็ทำตามปกติ แต่วิธีการสื่อสาร มันอาจจะต้องเลือกใช้คำพูด เพราะโลกโซเชียลมันค่อนข้างเร็ว พอมันเร็วปุ๊บมันสาธารณะกว่าเวลาเราไปเดินห้างฯ อีกคือเราโพสต์ไปปุ๊บ คนจะคิดได้สองฝั่งเสมอเพราะฉะนั้นการสื่อสารจึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้คำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะวนมาสู่คำที่ว่า "โซเชียลมันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตหรอกครับ" มันก็เป็นส่วนหนึ่ง ในการทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น รู้ข่าวสาร จากคนรอบข้างได้เร็ว แต่ว่าสุดท้าย คนที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณนั่นแหละ ที่คุณควรสนใจเขามากกว่าโลกโซเชียล อยากฝากบอกอะไรกับคนที่ติดตามฮั่น ฝากซิงเกิล "ร้ายกาจ"ด้วย และเร็วๆนี้จะมีอีกซิงเกิลหนึ่งให้ได้ติดตามกัน เป็นเพลงประกอบซีรี่ส์ แต่ว่ารายละเอียดยังคุยกันอยู่ สำหรับซีรี่ส์ "แพ้ทาง" ออนแอร์ไปเรียบร้อยแล้ว ประมาณ ep3 กำลังดราม่าถ้าดูไม่ทันดูย้อนหลังทางไลน์ทีวีได้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ โสดสตอรี่ 2 กำลังถ่ายทำอยู่ เรื่อง : จินตนา จันทร์ไพบูลย์ ภาพ : พสุพล ชัยมงคลทรัพย์