จากกรณีนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายชื่อดัง พานายธนบดี จิตตา อายุ 21 ปี อาชีพซื้อขายรถยนต์ ผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์กับสื่อโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ว่าเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา นายธนบดีได้ถูกกลุ่มบุคคลประมาณ 5-6 คนอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเฉพาะกิจใส่กุญแจมือ อุ้มตัวขึ้นรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ทะเบียน 4500 จ.เชียงใหม่ ไปจากห้างเดอะสตรีท ถ.รัชดา แขวงและเขตดินแดง กรุงเทพฯ ก่อนจะทำการปล้นทรัพย์สิน รวมถึงบังคับให้ไปเอาทรัพย์สินภายในอพาร์ตเมนต์พี่สาวและพี่ชายด้วย แต่โชคดีที่นายธนบดี หนีออกมาได้ ก่อนจะเดินทางมาแจ้งความไว้ที่ สน.ห้วยขวาง และต่อมา วันที่ 3 ส.ค. ตำรวจได้ขอศาลอาญาออกหมายจับนายกัณตพิชญ์ และชายไทยอีก 3 คนที่ปรากฏภาพที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดในความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ฯ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังฯ ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ และร่วมกันพาอาวุธปืนฯ ต่อมานายธนบดี จิตตา ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รอง ผบก.น.1 เพื่อชี้ตัวยืนยันผู้ต้องหาหลังจากถูกจับกุมได้ โดยชี้ตัวยืนยัน นายกัณตพิชญ์ หรือมาร์ค งามเอก อายุ 21 ปี ตามที่เป็นข่าวแล้วนั้น ที่ สน.ห้วยขวาง สำหรับความคืบหน้า เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 4 ส.ค.60 พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส.4 พล.ต.ต.ณัฐแก้ว เมตตามิตรพงศ์ ผบก.ประจำสนง.ผบ.ตร. เดินทางมาที่ สน.ห้วยขวาง เพื่อติดตามคดีดังกล่าว โดยได้ร่วมซักถามปากคำผู้ต้องหา ก่อนจะให้นายธนบดี จิตตา อายุ 21 ปี ชี้ตัวยืนยันผู้ต้องหา 4 คนหลังจากถูกจับกุมได้ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่ยินดีนำชี้ที่เกิดเหตุเพื่อประกอบคำให้การ พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ตำรวจสน.ห้วยขวาง เร่งรัดสืบสวนสอบสวน ติดตามจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ ประทุษร้ายต่อทรัพย์ นายธนบดี จิตตา อายุ 21 ปี ผู้เสียหาย โดยมีการแอบอ้างเป็นทหาร และตำรวจนอกเครื่องแบบ หน่วงเหนี่ยว กักขัง และทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เข้าข่ายเป็นผู้มีพฤติการณ์ขัดคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 13/2559 ลงวันที่ 29 มี.ค.59 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อย หรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เหตุเกิดที่ บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะสตรีท ถ.รัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.60 เวลากลางคืน มาดำเนินคดีโดยเร็ว พล.ต.ต.ชยพล กล่าวต่อว่า ทางพนักงานสอบสวน ได้รับคำร้องทุกข์ไว้ตามคดีอาญาที่ 876/60 ลงวันที่ 2 ส.ค.60 และได้มีการจับกุมตัว นายกัณตพิชญ์ หรือมาร์ค งามเอก อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/218 ซ.รัชดา 36 แขวงจันทร์เกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาไว้แล้ว ส่วนผู้กระทำความผิดที่เหลือ พนักงานสอบสวนได้ขอออกหมายจับจากศาลอาญา และศาลได้ออกหมายจับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อมาวันที่ 4 ส.ค เวลาประมาณ 03.00 - 05.00 น. ได้ร่วมกันจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดในคดีนี้ เพิ่มเติม อีก 4 คน คือ 1. นายอานนท์ สาระสันต์ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 191 ซ.สุขุมวิท 62 แขวงบางจาก เขตพระขโนง กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1752/60 ลงวันที่ 3 ส.ค.60 ซึ่งเป็นอดีตพลทหาร 2. นายกฤษณะ หรือต่าย พงษ์สว่าง อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19/1 หมู่ 5 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1753/60 ลงวันที่ 3 ส.ค.60 ซึ่งเป็นอดีตทหาร ยศร้อยโท 3.นายสุชาติ หรือต้อย นิลศิริโก อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ 5 ต.นาคาใหญ่ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1754/60 ลงวันที่ 3 ส.ค.60 4. นายศุภกร หรือจ่ายุทธ ไชยมี อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 999/1 แขวง ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1758/60 ลงวันที่ 4 ส.ค.60 ซึ่งเป็นอดีตทหาร ยศจ่า ในความผิดฐาน “ปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อการกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพา อาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควร” พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ทั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมดยกแก๊ง ยืนยันเป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามตนได้สั่งการให้ไปตรวจค้นหาทรัพย์สินที่ผู้เสียหายถูกประทุษร้าย และอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ ส่วนทรัพย์สินของผู้เสียหายหากพบว่าอยู่กับใครก็ให้ดำเนินการในข้อหารับของโจรและขยายผลต่อไปอีก นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติเบื้องต้นของผู้ต้องหาพบว่ากลุ่มนี้ยังไม่มีประวัติก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว นายธนบดี กล่าวว่า ทรัพย์สินที่หายไปประกอบด้วยนาฬิกาจำนวน 3 เรือน โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง กระเป๋าหลุยส์ 1 ใบ กระเป๋าใบใหญ่ 1 ใบ กุญแจรถเบ๊นซ์ กระเป๋าสตางค์ พร้อมเงินสดจำนวน 13,000 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 4 ล้านบาท ในวันเกิดเหตุนายกัณตพิชญ์ ได้โทรศัพท์นัดตนให้ออกมาพบ เนื่องจากอยู่ในช่วงพิจารณาคดีที่นายกัณตพิชญ์ แจ้งความเรื่อการซื้อขายรถยนต์ ตนไม่ทราบสาเหตุที่นายกัณตพิชญ์ก่อเหตุดังกล่าวขึ้น เพราะไม่มีเรื่องอะไรโกรธเคืองกัน ส่วนเรื่องรถยนต์ที่ตนรับซื้อรถจากนายกัณตพิชญ์ ในราคาถูกตนได้มีการชี้แจงกับนายกัณตพิชญ์ไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ตนรับซื้อรถยนต์มาในราคา 3.3 แสนบาท และได้ขายต่อไปในราคา 4.7 แสนบาท ต่อมาได้มีการเปลี่ยนมืออีกครั้งราคาอยู่ที่ 5 แสนกว่าบาท เป็นเพียงปัญหาเดียวเพราะนายกัณตพิชญ์ต้องการเงินส่วนที่ยังไม่ได้ตามจำนวนเงินที่เขาคิดว่าจะขายได้ ต่อมาเวลา 14.00 น.เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปชี้จุดที่มีการพาตัวผู้เสียหายไปรีดทรัพย์ โดยจุดแรกได้ชี้จุดบริเวณทางเข้าห้างเดอะสตีท รัชดา จากนั้นได้ชี้จุดที่นายกัณตพิชญ์ได้พบกับผู้เสียหายบริเวณทางเข้าร้านสตาร์บัค ชั้น 2 ของห้างดังกล่าว และได้มีการนั่งพูดคุยกัน ต่อมาชี้จุดที่ผู้เสียหาย ได้เดินไปซื้อกาแฟภายในร้าน ก่อนจะถูกกลุ่มผู้ต้องหา ล็อคตัวแล้วนำขึ้นรถฟอร์จูนเนอร์ โดยใช้เวลา ประมาณ 20 นาที ขณะที่กำลังชี้ในจุดแรกกลุ่มผู้ต้องหาได้ตะโกนขอความเป็นธรรมระบุว่าฝ่ายตนเป็นผู้ถูกโกง โดยนายศุภกร หรือจ่ายุทธ ไชยมี หนึ่งในผู้ต้องหา ได้บอกกับสื่อมวลชน ว่า "ผมให้เขาพูดมานานแล้ว ผมรู้ว่าผมผิดที่ทำแบบนี้ แต่คนนี้เป็นพวก18มงกุฎ หลอกคนไปเรื่อย มีคดีความฟ้องร้องมากมายเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ นอกจากนี้ยังได้บอกให้เสี่ยโป้ให้มาช่วยด้วย เพราะเสี่ยโป้ก็เคยถูกนายธนบดีโกงเงินไปเช่นกัน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปชี้จุดอื่น ทั้งนี้การทำแผนประกอบคำรับสารภาพในครั้งนี้จะทำด้วยกันทั้งหมด 19 จุด โดยมีจุดสำคัญ 3 จุดใหญ่ จุดแรกบริเวณร้านสตาร์บัค ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าเดอะสตีท ถนนรัชดา ซึ่งเป็นจุดที่นายธนบดี ถูกกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดใส่กุญแจมือ แล้วพาลงมาขึ้นรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เพื่อรูดทรัพย์ จุดที่ 2 คอนโด ภายในซอยพหลโยธิน 66 แขวงและเขตสายไหม กทม. เป็นห้องพักนายธนบดี และเป็นจุดที่กลุ่มคนร้ายบังคับให้มาเอาทรัพย์สิน และจุดที่สามบริเวณหน้าบ้านพักพี่ชายนายธนบดี ภายในซ.เพชรเกษม 54 ซึ่งเป็นจุดที่นายธนบดีหลอกล่อกลุ่มคนร้ายว่ายังมีทรัพย์สินอีกส่วนเก็บไว้ และเป็นจุดที่นายธนบดี หลบหนีลงมาจากรถเพื่อขอความช่วยเหลือจนรอดมาได้