เกษตรกรรุ่นใหม่ นางสาววัชรีญา มณีรัตน์ หรือ ปุ๊ก วัย 24 ปี หันหลังให้กับเงินเดือนประจำ เดินตามความฝันเพื่อสืบสานวิถีเกษรแบบผสมผสานตามรอยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ร.9) โดยมีความมุ่งหวังในอนาคตมีความอยู่รอด มีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นางสาววัชรีญา เล่าว่า เดิมเป็นพนักงานบริษัทเอกชน แต่เกิดความรู้สึกอยากทำการเกษตรอยากกลับมาอยู่กับครอบครัวที่ จ.อำนาจเจริญ ประกอบกับพ่อและแม่มีอาชีพทำการเกษตรกรอยู่แล้ว จึงลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำเกษตรในปี 2558 โดยก่อนหน้านี้ได้ศึกษาเรื่องวัว และพืชที่จะปลูก จากหนังสือ ขอความรู้จากเจ้าหน้าที่เกษตร และสามีคอยให้คำปรึกษาจึงกลับมาอยู่บ้าน “เริ่มจากซื้อที่ดินว่างเปล่าจำนวน 9 ไร่ ในพื้นที่บ้านคึมข่า หมู่ 6 ต.เสนางคนิคม อ.เสนางคนิคม ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเจ้าของเดิมได้ขุดหน้าดินไปขาย จึงต้องปรับปรุงบำรุงดิน โดยการใส่ปุ๋ยคอกและโดโลไมท์ จากนั้นเริ่มต้นปลูกหญ้าเลี้ยงวัว วางระบบน้ำเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเกษตรอื่นๆ” ปัจจุบันมีทั้งหมดจำนวน 12 ไร่ โดยปลูกพืชแบ่งเป็นโซน ประกอบด้วย โซนที่พักอาศัย ถัดมาเป็นแปลงหญ้าเนเปียร์ จำนวน 4 ไร่ แก้วมังกร จำนวน 100 เสา มะนาวแป้นพิจิตร 1 จำนวน 80 ต้น จากนั้นปลูกมะม่วง จำนวน 60 ต้น โดยปลูกมะม่วงควบคู่ไปกับการเลี้ยงเป็ด-ไก่ เนื่องจากมูลเป็ด-ไก่จะเป็นปุ๋ยให้กับต้นมะม่วง ส่งผลให้ผลผลิตออกมาจำนวนมากโดนที่ไม่ต้องใส่สารเคมี นางสาววัชรีญา อธิบายต่อว่า ถัดจากมะม่วงปลูกกล้วยน้ำว้า ปากช่อง50 จำนวน 2ไร่ สระน้ำ 2 สระ สระโครงการ 1 สระปลาดุก ปลานิล ปลารวม ปลูกข้ามหอมมะลิ 105 และพืชผักสวนครัวต่างๆ นอกจากนี้บริเวณรอบปลูกไผ่รวกหวาน ซึ่งสามารถเก็บหน่อไผ่ขายได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามในการจัดโซนแปลงเพาะปลูกต่างๆ จะพยายามให้พืชกับสัตว์ที่เลี้ยงเอื้อประโยชน์ต่อกัน เพราะปลงเกษตรที่นี่ไม่ใช้สารเคมี “เริ่มแรกลงทุนไม่เยอะ ค่อยๆทำ โดยคิดแบบการทดแทน คือ ซื้อวัวมาไว้ พอลูกออกมาขายได้ก็เป็นกำไร ที่เหลือก็เป็นทุน ขณะที่รายจ่ายเราจะแยกเป็นรายวัน รายเดือน และรายปี พร้อมทำบัญชีครัวเรือนแยกเป็น3อย่างด้วย” รายได้จากรายวัน ได้มาจากพืชผักสวนครัว พริก มะเขือ ที่ปลูกตามฤดูกาลขายตามหมู่บ้านเฉลี่ยวันละประมาณ 300 บาท ส่วนรายเดือน ได้จากการขายเป็ด ไก่ หมู ปลา รายได้เฉลี่ยประมาณ 30,000- 40,000 บาท โดยเอาเงินรายเดือนมาใช้จ่ายเรื่องอาหาร หมอปศุสัตว์ และค่าไฟ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ขายหมูและขายไก่ได้ล็อตแรก แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ 100% และรายปี ได้จากการขายลูกวัวพันธุ์ โดยวัว 1ตัว ราคาประมาณ20,000 กว่าบาท ซึ่ง 1 ปี จะมีลูกวัวขายจำนวน 4-5ตัว รายได้ตรงนี้จะนำมาจ่ายหนี้ เช่น จ่ายหนี้ค่ารถไถส่วนหนึ่ง และเป็นเงินเก็บอีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามในอนาคตจะพัฒนาเป็นโคขุนทั้งหมดเพราะจะได้ราคาที่ดีกว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ ทิ้งท้ายว่า เมื่อเทียบกับการทำงานประจำ การทำเกษตรสบายกว่าเยอะ เพราะงานประจำจะต้องตรงเวลา แต่การทำเกษตรทำอะไรก็ได้ สามารถกำหนดงานของเราเองได้ว่าวันหนึ่งจะต้องทำอะไร ตื่นเช้ามา รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารวัว ช่วงเย็นก็ทำงานปกติ อยู่ท่ามกลางอากาศที่ดี สิ่งแวดล้อมดีและสุขภาพจิตก็ดีตาม ทีมข่าวภูมิภาค