จากกรณีนายอัลฮลาบิ โมฮัมหมัด ยาเซอร์ อายุ 47 ชาวซีเรีย หอบหลักฐานหนังสือผู้ลี้ภัยจาก UNHCR เข้าร้องทุกข์ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ว่าถูกอาสาตำรวจสน.ลุมพินี พาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี มาจับกุมนายอัลฮลาบิ โมฮัมหมัด วาเอล อายุ 23 ปี ลูกชาย ที่ทำงานเป็นช่างตัดผมแห่งหนึ่ง ภายในซอยนานา ย่านถนนสุมขุมวิท ในข้อหาอยู่ในไทยเกินกำหนด ทั้งที่ถือหนังสือผู้ลี้ภัย ก่อนถูกเรียกเงินรวม 5.5 แสนบาท แลกกับการปล่อยตัว สุดท้ายกลับไม่มีการปล่อยตัว พอเจ้าตัวไปทวงถามที่ สน.ลุมพินี กลับถูกจับต้องจ่ายใต้โต๊ะอีก 1.5 แสนบาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัว เมื่อไปเยี่ยมลูกชายที่สถานกักตัวคนต่างด้าว กลับพบว่าถูกทำร้ายจนเลือดทะลักปาก-จมูก ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 24 ส.ค.60 ที่ สน.ลุมพินี พ.ต.ท.สมเกียรติ พลอยทับทิม รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ลุมพินี ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย ได้แก่นายคาซาล วาเกล ชาวซีเรีย นายบาเซิล (ไม่ทราบนามสกุล) ชาวเลบานอน นายอิสลาม อาร์เมด อายุ 32 ปี ชาวอียิปต์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครใต้ เลขที่ 185-187/2560 ตามลำดับ ลงวันที่ 23 ส.ค. 25560 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายคาซาล วาเกล ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี จับกุมได้ที่อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ภายในซ.สุขุมวิท 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กทม. เมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 23 ส.ค.60 ที่ผ่านมา ส่วนนายอิสลาม จับกุมเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 24 ส.ค.60 บริเวณลานจอดรถ ตรงข้ามโรงแรมนาซ่า วีกัส ถนนรามคำแหง แขวงสวนหลวง เขต สวนหลวง กทม. เนื่องจากกลับมาหาภรรยาและลูกที่กรุงเทพ หลังหนีไปกบดานอยู่พัทยา จ.ชลบุรี จากการสอบปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การปฏิเสธ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อต้องสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง ต่อมา พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พล.ต.ต.มงคล วรุณโณ รรท.ผบก.น.5 เดินทางมายัง สน.ลุมพินี เพื่อสอบปากคำนายคาซาล นายอิสลาม ด้วยตนเอง โดยมี พ.ต.อ.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผกก.สน.ลุมพินี ร่วมสอบที่ห้องประชุมสมประสงค์ ชั้น 2 สน.ลุมพินี พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ เรื่องดังกล่าวเกิดจากชู้สาว ระหว่างนาย นายอัลฮลาบิ โมฮัมหมัด วาเอล กับนายอิสลาม อาร์เมด ไปติดพันหญิงสาว (น.ส.ซาริม่า ชาวโมร็อกโก) คนเดียวกัน แต่นายอัลฮลาบิ มีครอบครัวอยู่แล้ว ทำให้เกิดความไม่พอใจกัน นายอิสลาม จึงไปแจ้งเจ้าหน้าตำรวจ สน.ลุมพินี ให้จับกุมนายอัลฮลาบิ ว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เมื่อทำการตรวจสอบไม่พบสิ่งผิดกฏหมาย จึงเรียกตรวจพาสปอร์ตตามปกติ เนื่องจากเป็นชาวต่างชาติพบว่าโอเวอร์สเตย์ อยู่เกินกว่าระยะเวลาที่กำหนด จึงจับกุมบริเวณหน้าอาคารออมนิทาวเวอร์ ซ.สุขุมวิท 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กทม.ในวันที่ 1 มิ.ย.60 เวลา 22.00 น.ข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ก่อนนำตัวส่งศาลแขวงพระนครใต้ ในวันที่ 2 มิ.ย.60 คดีดำ-แดง เลขที่ 130/2560 ถูกพิพากษา จำคุก 2 ปี ปรับ 3,000 บาท โดยโทษจำคุกรอลงอาญา 1 ปี และตอนนี้อยู่ระหว่างการกักกันตัวที่ สตม. ระหว่างนั้นทางนายอิสลาม และพวกได้ไปบอกพ่อนายอัลฮาบิว่า สามารถช่วยเหลือได้ จึงทำการเรียกรับเงิน พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวต่อว่า ลำดับพฤติการก่อเหตุของผู้ต้องหานั้น แบ่งออกเป็น 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 2 มิ.ย. เวลาประมาณ 01.00 น. มีนางอิฮาน่า แฟนสาว นายอัลฮลาบิ โมฮัมหมัด วาเอล ได้นำเงินจำนวน 25,000 บาท ไปให้นายคาซาลและนายบาเซิล ที่ห้องพักของนายบาเชิล ในซอยสุขุมวิท 4 ครั้งที่ 2 วันที่ 2 มิ.ย. เวลาประมาณ 13.00 น. มีนางอิฮาน่า แฟนสาว นายอัลฮลาบิ โมฮัมหมัด วาเอล ได้นำเงินจำนวน 50,000 บาท ไปให้นายอิสลาม บริเวณข้าง สน.ลุมพินี ครั้งที่ 3 วันที่ 5 มิ.ย. เวลาประมาณ 01.00 น. ผู้เสียหายได้นำเงินจำนวน 280,000 บาท ไปให้นายบาเซิล ที่หน้าอาคารเศรษฐีวรรณ ซอยสุขุมวิท 4 ซึ่งนายบาเชิลเรียกเงินจำนวน 350,000 บาท แต่ผู้เสียหายมีเงินสดเพียง 280,000 บาท พร้อมมอบรถ จยย.ให้อีก 1 คัน ราคาประมาณ 150,000 บาท ส่งมอบกันบริเวณอาคารออมนิทาวเวอร์ ซอยสุขุมวิท 4 ครั้งที่ 4 วันที่ 10 มิ.ย. เวลาประมาณ 19.00 น. นายอิสลามและนายบาเซิล ได้นัดผู้เสียหายพบเพื่อเรียกเงินอีก จำนวน 150,000 บาท ที่ร้านอาหารนาฟาชิตี้ ซ.สุขุมวิท 3 โดยอ้างว่ากำลังดำเนินการอยู่ระหว่างการเซ็นเอกสารและต้องการเงินเพิ่ม ผู้เสียหายยินยอมและมอบเงินให้ รวมจำนวนเงินทั้งหมด 655,000 บาท ต่อมานายอัลฮลาบิ โมฮัมหมัด ยาเซอร์ ได้ยกมือไหว้ขอบคุณ พล.ต.ท.ศานิตย์ พร้อมกล่าวผ่านลามว่า ตนขอบคุณทางตำรวจไทย และดีใจที่ขจัดคนพวกนี้ที่ทำให้ตำรวจไทยเสื่อมเสียไปได้ สิ่งที่ทำให้ตนคิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นอาสาตำรวจ เนื่องจากที่ผ่านมาตนเคยเห็นกลุ่มผู้ต้องหาทำการไล่จับคนต่างชาติในพื้นที่ซอยนานาแล้วปล่อยตัวไป ซึ่งชาวต่างชาติย่านนานา คิดว่าเป็นอาสาตำรวจ ตนจึงคิดว่าน่าจะช่วยเหลือได้ จึงยอมจ่ายเงินไป ในส่วนของลูกชายนั้นก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ไม่น่าจะถูกส่งกลับไปซีเรีย เนื่องจากมีสภาวะสงคราม ก็อาจร้องขอให้ส่งตัวไปยังประเทศที่ 3 คงต้องดำเนินการผ่านช่องทางสหประชาชาติต่อไป พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ากลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เป็นอดีตล่ามแปลภาษาอารบิกให้กับทางการไทย ไม่ใช่ตำรวจอาสา และไม่ได้ทำงานให้กับตำรวจนานแล้ว ขณะนี้ยืนยันอีกว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ในตำรวจนครบาลไปเกี่ยวข้อง ไปเรียกรับเงินหรือรู้เห็นเป็นใจแต่อย่างใด ส่วนผู้ต้องหาอีกรายคาดว่าใช้เวลาไม่นาน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ส่วนข้อกล่าวหานั้น หากสอบปากคำอย่างละเอียดแล้วนั้นเข้าข่ายข้อหาใดก็จะแจ้งทันทีอย่างไม่ละเว้น