“พล.อ.อ.ชนัท รัตนอุบล” ไขเคล็ดลับความสุข “เติมพลังชีวิต-สะสมบุญ-สร้างเสียงหัวเราะ” “พระองค์ทรงมีรับสั่งถามถึงเรื่องการบินถ่ายภาพ กระบวนการผลิตและการแปลความภาพถ่าย แล้วพระราชทานคำแนะนำว่าทำอย่างไร จึงจะทำให้ภาพถ่ายนั้นถูกต้องสมบูรณ์ และมีประโยชน์ต่อการใช้งานมากที่สุด ซึ่งแสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในด้านนี้” เรื่อง : ชนิดา สระแก้ว ภาพ : พสุพล ชัยมงคลทรัพย์ “รื่นรมย์คนการเมือง” สัปดาห์นี้จะพาไปรู้จักนักบินอารมณ์ดีจากกองทัพอากาศ มีเสียงหัวเราะเป็นเอกลักษณ์ เรากำลังพูดถึง “พี่โอ๋” พล.อ.อ.ชนัท รัตนอุบล อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ปัจจุบันมีโอกาสได้เข้ามานั่งในสภาหินอ่อน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรามารู้จักตัวตนของเขากันดีกว่า ว่าชีวิตที่ผ่านมามีประสบการณ์อะไรบ้าง @ ภารกิจค้นหาเป้าหมายผกค. พี่โอ๋ เล่าให้ฟังสมัยเรียนโรงเรียนเตรียมทหารว่า เรียนปี 2514 จบโรงเรียนนายเรืออากาศ แล้วเข้าเรียนในโรงเรียนการบินกำแพงแสน จบเป็นนักบินเมื่อปี 2521 แล้วมาเป็นนักบินลำเลียงสังกัดกองบิน 6 ฝูงบิน 603 บินเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 2 (บล.2)หรือ C-47(Dakota) พอฝึกเปลี่ยนแบบจบได้เป็นนักบินที่ 2 ปุ๊บ ก็ต้องออกไปอยู่หน่วยสนามทันที เนื่องจากมีพี่ๆนักบินในฝูงบินลาออกเพราะสอบติดการบินไทย หน้าที่ในตอนนั้นคือการบินลาดตระเวนถ่ายภาพทางอากาศ ซึ่งต้องใช้เทคนิคด้านการบินเฉพาะ เพราะภาพที่ถ่ายแต่ละภาพจะนำมาต่อเรียงกันจนเต็มพื้นที่ที่ต้องการตรวจสอบแล้วนำภาพมาศึกษา เพื่อค้นหาหรือพิสูจน์ทราบเป้าหมายผู้ก่อการร้าย(ผกค.) แล้วส่งภาพถ่ายพร้อมผลการแปลความของว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหน เพื่อให้กองกำลังของเราเข้ากวาดล้างทำลาย บางครั้งเป้าหมายมีการซ่อนพรางอย่างดี การถ่ายภาพธรรมดาอาจไม่ได้ผล จำเป็นต้องใช้การถ่ายภาพความร้อนคือการใช้อินฟาเรดแสกนเนอร์ บินในเวลากลางคืน จับความร้อนจากการหุงหาอาหาร หรือจากร่างกายมนุษย์ ซึ่งการบินในแบบนี้เราต้องบินต่ำ สูงจากพื้นไม่เกิน 1,500 ฟุต ซึ่งการบินตอนกลางคืนจะทำให้ผกค.มองไม่เห็น แต่ถ้าเป็นเดือนหงายก็จะกังวลหน่อย เพราะฝ่ายตรงข้ามสามารถยิงเครื่องเราได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ยิงเพราะเป็นการเปิดเผยตนเอง แต่ก็มีเหมือนกันที่ถูกยิงตอนบินทำงาน เครื่อง C-47 จะบินช้าด้วย “แต่ถามว่าตอนนั้นกลัวไหม ตอบได้เลยว่าไม่กลัว เพราะเพิ่งจบมาใหม่ๆกำลังมีไฟ ตอนหลังเปลี่ยนมาบินเครื่อง บล.6(Merlin 4)บินสูงกว่า เร็วกว่า บางทีเวลาเค้ามีการทิ้งระเบิดเป้าหมายเราก็มีหน้าที่ต้องไปถ่ายภาพเป้าหมายหลังการโจมตีว่าถูกทำลายหรือไม่ ผมก็ชอบไปบินวนดูเหนือเป้าตอนเค้าลงโจมตีกัน นอกจากการถ่ายภาพเป้าหมายดังกล่าวแล้ว บางครั้งเรายังต้องไปถ่ายภาพพื้นที่ๆทางราชการต้องการพัฒนา ถ่ายภาพการจราจรที่ติดขัด ถ่ายภาพน้ำท่วม อะไรทำนองนี้ บางครั้งก็ถ่ายโครงการตามพระราชดำริ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ก็ทรงนำภาพถ่ายนั้นไปใช้งาน” @ รับใช้ใกล้ชิด “ในหลวง รัชกาลที่ 9” พี่โอ่ เล่าถึงความปลาบปลื้มได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัฐกาลที่ 9 ว่า ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งให้ทางกองทัพอากาศเข้าเฝ้าฯที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการทำภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเราในฐานะนักบินถ่ายภาพทางอากาศได้มีโอกาสติดตามคณะของผู้บัญชาการทหารอากาศ ไปเข้าเฝ้าฯด้วย ก็รู้สึกตื่นเต้นมากใจก็คิดว่าห้องทรงงานจะสวยงามแค่ไหน แต่เมื่อไปถึงก็เห็นว่าห้องทรงงานเต็มไปด้วยแผนที่ ภาพถ่ายทางอากาศ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ เต็มไปหมด “พระองค์ทรงมีรับสั่งถามถึงเรื่องการบินถ่ายภาพ กระบวนการผลิตและการแปลความภาพถ่าย แล้วพระราชทานคำแนะนำว่าทำอย่างไร จึงจะทำให้ภาพถ่ายนั้นถูกต้องสมบูรณ์ และมีประโยชน์ต่อการใช้งานมากที่สุด ซึ่งแสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในด้านนี้ สร้างความประทับใจให้กับคณะของเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตัวผมเอง เมื่อได้เห็นข้อเท็จจริงว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยังทรงงานเพื่อบ้านเมืองขนาดนี้ ต่อไปเราเองก็ตั้งใจว่าจะต้องอุทิศตนเพื่อบ้านเมืองเช่นเดียวกัน” หลังจากนั้นไม่นานพี่โอ๋ ก็ย้ายไปอยู่ฝูงบิน 601 บิน บล.8 หรือ C-130H (Hercules) เครื่องใหญ่ขึ้นสี่เครื่องยนต์ บินเร็ว บินสูง ขนคน ขนฃองได้มากขึ้น จึงได้มีโอกาสบินไปเมืองนอก บ่อยๆ และสุดท้ายได้เป็นนักบินพระที่นั่งประจำเครื่องนี้เลยได้มีโอกาสถวายงานมากขึ้น ได้มีโอกาสตามเสด็จเวลาไปทรงงานในต่างจังหวัด ได้เห็นว่าทรงงานอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยตั้งแต่เช้าจรดเย็น บางครั้งพระองค์ท่านยังเสด็จไปในถิ่นทุรกันดาร หรืออันตราย แม้แต่เราเองยังไม่อยากไป บางครั้งเสด็จลงจากเครื่องแล้วก็ต้องเสด็จด้วยเฮลิคอปเตอร์ และทรงปฏิบัติภารกิจจนบางครั้งดึกๆ อากาศก็เริ่มไม่ค่อยดี เราก็รู้สึกเป็นห่วงพระองค์ท่าน แต่ก็มาเข้าใจว่าทรงทำทุกอย่างนี้เพื่อประชาชนของพระองค์ ทำให้ตนเองจึงขอปวารณาว่ายินดีถวายชีวิตเพื่อพระองค์ท่าน @ เบื้องหลังฉายา “โอ๋ ตอม่อ” พี่โอ๋ รู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานที่ทำงานในกรรมาธิการคมนาคม สนช. จนถูกตั้งฉายา “โอ๋ ตอม่อ” ซึ่งมีที่มาจากการที่ ในกมธ.คมนาคม มีคนชื่อโอ๋เหมือนกัน 3 คน 3 เหล่า คือ พี่โอ๋(ทัพบก) พี่โอ๋(ทัพเรือ) ส่วนตนเอง ก็มาจากกองทัพอากาศ ตอนเข้ามาเป็นสนช.เรามีภารกิจติดตัวมา คือสมัยที่ท่านพล.อ.อ.ประจินต์ จั่นตอง เป็นรมว.คมนาคม เคยเสนอให้ช่วยสั่งให้กรมทางหลวงรื้อสะพานลอยทางเข้าสนามบินดอนเมืองตรงสถานีรถไฟดอนเมือง ถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก เพราะทำให้เกิดคอขวดจาก 3 เลนเหลือ 2 เลน ทำให้รถติดตลอดโดยเฉพาะวันหยุดยาว ท่านก็รับปากที่จะรื้อสะพานลอยออกแล้วสร้างใหม่ตรงที่เดิม แต่จะขยับตอม่อของสะพานลอยให้เข้าไปชิดกับรางรถไฟเพื่อเพิ่มผิวถนน แต่ถูกย้ายก่อนที่จะได้ลงมือทำ เมื่อมีโอกาสได้เข้าไปนั่งทำงานเป็นสนช. ได้เสนอประเด็นนี้เข้าในกมธ.หัวข้อการแก้ไขปัญหาจราจร ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯเห็นด้วย และมอบให้อนุฯกมธ.ทางบกและทางรางเป็นผู้ดำเนินการ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเราก็ติดตาม และอนุฯกมธ.แก้ปัญหาต่างๆจนสำเร็จลุล่วงและจะสามารถลงมือรื้อได้ในเดือนกันยายน 2560 จนมีคนตั้งฉายานามให้ว่า "โอ๋ ตอม่อ" อย่างไรก็ดีก็อยากให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของการแก้ไขปัญหาคอขวด แบบนี้ทั่วประเทศ @ ฝันคมนาคมไทยเทียบเคียงญี่ปุ่น พี่โอ๋ บอกว่า สิ่งที่ต้องการเห็นและอยากที่จะทำต่อไปคือ ตอนนี้เรามีโครงการสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ตามถนนวิภาวดีไปจนถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิตแล้ว อยากผลักดันให้มีการสร้างรถไฟฟ้าตามแนวถนนสายรังสิต-นครนายกเชื่อมรถไฟฟ้าสายนี้ ปัจจุบันถนนสายนี้รถติดมาก อุบัติเหตุก็มาก เพราะมีหมู่บ้าน หน่วยราชการขนาดใหญ่มหาวิทยาลัย ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ สนามกอล์ฟ สนามกีฬา ตลอดจนเป็นประตูทางเชื่อมระหว่างเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามหลายแห่ง ที่สำคัญถนนเลียบริมคลองชลประทาน ตั้งแต่ฟิวเจอร์พาร์คไปไม่มีรถโดยสารสาธารณะวิ่งรับส่งคนที่อาศัยอยู่ตามแนวถนนเหล่านี้ แม้แต่ถนนคลองห้าที่เป็นที่ตั้งขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ก็ไม่มี คนจะเข้าไปเที่ยวชมต้องมีรถส่วนตัวเท่านั้น ข้าราชการที่ทำงานและคนแถวนั้นจึงจำเป็นต้องซื้อรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซด์ใช้ ยิ่งทำให้รถติดมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ยังอยากเห็นการเชื่อมต่อโครงข่ายทางด่วนที่สามารถทำให้รถวิ่งผ่านเมือง เช่น ทางด่วนบางปะอินโคราช เชื่อมกับอุดรรัถยาเชื่อมกับทางด่วนศรีรัช เชื่อมกับ บรมราชนนีแล้วเชื่อม นครปฐม-ชะอำ รถจากเหนือ อีสาน จะไปใต้ ไม่ต้องเข้ามาผ่านกทม.และอยากเห็นคนกรุงเทพฯไม่ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว เพราะมีรถโดยสารสาธารณะขนาดเล็กติดแอร์วิ่ง รับ-ส่ง จากหน้าหมู่บ้าน แม้จะอยู่ในซอยห่างจากถนนใหญ่มายังสถานีรถไฟฟ้า เหมือนคนญี่ปุ่นที่สามารถใส่สูทขึ้นรถไฟฟ้ามาทำงานได้ อย่างไรก็ดีอยากให้คนทุกคนสามารถใช้รถไฟฟ้าของเราได้ในราคาไม่แพง รัฐจะหาเงินที่ไหนมาช่วยอุดหนุน หรือให้บริษัทรถไฟฟ้าให้เช่าที่หาเงินมาช่วยก็ได้ ในต่างประเทศเขาก็ทำกัน การสร้างถนนเพิ่มในกรุงเทพสร้างไม่ไหวแล้วสร้างยังไงก็ไม่พอรองรับรถที่นับวันมีแต่จะมากขึ้น @ สะสมบุญกุศล-อย่าหลงของนอกกาย มาฟังเรื่องส่วนตัวกันบ้างว่าดูแลสุขภาพร่างกายบ้าง พี่โอ๋ บอกว่า ตั้งใจว่าจะไม่เป็นคนแก่ที่เดินกะย่องกะแย่ง จึงพยายามหาเวลาออกกำลังกาย จึงรื้อเครื่องออกกำลังกายที่ซื้อมาตั้งแต่หนุ่มๆ แต่ใช้ไม่ได้ต้องซื้อใหม่หมด เป็นลู่วิ่ง แอร์วอล์ค เครื่องบริหารหน้าท้อง รวมทั้งซื้อจักรยานมาขี่ตามสมัยนิยม แต่ขี่ได้พักเดียวก็รู้สึกว่ามันอันตรายสำหรับเราเกินไป ยิ่งเห็นพี่ๆเพื่อนๆหลายคนเกิดอุบัติเหตุ เลยเลิกขี่จักรยาน มาออกกำลังกายอยู่กับที่ดีกว่า แต่ช่วงนี้ยอมรับว่าไม่ค่อยมีเวลาเนื่องจากประชุมทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ ก็ไปติดตามงานที่ต่างจังหวัด สำหรับเรื่องอาหารก็พยายามลดแป้ง น้ำตาล ของทอด ของมัน ของหวาน ทานผักและผลไม้ พยายามลดอาหารเย็นด้วย คุณพ่ออายุ 91 แล้วตอนนี้ก็ยังแข็งแรง ท่านเดินออกกำลังกายในบ้านทุกวัน พบแพทย์ตรวจสุขภาพตามนัด ด้วยความที่เราเห็นว่าพี่โอ๋ เป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้จะมีความเครียดบ้างไหม และมีวิธีจัดการอย่างไร พี่โอ๋ บอกว่า เรื่องเครียดมันก็มีแทบทุกวัน แต่ก็ต้องรู้จักสงบจิตสงบใจ จะใช้วิธีอ่านหนังสือธรรมะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ คิดเสียว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นดำรงอยู่ แล้วก็สูญสิ้นไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดตามกรรมที่เราทำไว้เแต่ชาติปางก่อน เหมือนฝากเงินไว้ในธนาคารเมื่อชาติที่แล้วเอามาใช้ในชาตินี้ “ ผมเชื่อว่าคนเราที่มีชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้วันนี้ได้ มันถูกลิขิตมาแล้วใครจะไปเชื่อว่าคนอย่างผมที่เคยนั่งขายของบนฟุตบาทข้างถนนแถวหน้าวัดสะพานสูง เขตบางซื่อ จะได้มานั่งทำหน้าที่ในสภา ผมคิดเสมอว่าความตายมันอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่เราเกิดแล้ว ดังนั้นเราต้องเร่งสะสมบุญกุศลในชาตินี้เก็บเอาไปใช้ชาติหน้า อย่ามัวหลงสะสมของนอกกายอย่างอื่น” พี่โอ๋ ทิ้งท้ายการสร้างสุขในวัยสูงอายุ ว่า ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์ อย่าหยุดนิ่งเพราะจะเป็นอัลไซด์เมอร์ ต้องรู้จักเติมพลังให้ชีวิตด้วยการทำตัวให้มีคุณค่า ส่วนตัวไม่มีอะไรมากแค่ได้ตีกอล์ฟ พบปะพูดคุยเล่าความหลังได้หัวเราะกับเพื่อนๆ ก็มีความสุขแล้ว การหัวเราะให้มากๆจะทำให้อายุจะยืน และแก่ช้า... ////////////////////////