สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ร่วมกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง ทุ่มงบประมาณ 46 ล้านบาทเดินหน้าต่อยอดการพัฒนาเอสเอ็มอีของประเทศไทยด้วยการเปิดโครงการพัฒนาสู่สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด เพื่อสร้างต้นแบบเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ พร้อมเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่เต็มสูบ สำหรับโครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและยกระดับการดำเนินกิจการเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 สร้างต้นแบบธุรกิจที่มีศักยภาพระดับจังหวัดและผลักดันสู่ระดับประเทศ พร้อมเป็นแบบอย่างให้กับเอสเอ็มอีอื่นๆในระดับภูมิภาค งานนี้จึงได้มีการคัดเลือกเอสเอ็มอีจากทั่วประเทศมาเข้าร่วมโครงการ มีการจัดอบรมสัมมนาในกลุ่มของผู้ประกอบการที่ไม่ใช่อาหารหรือ Non-food จำนวน 156 ราย จากผู้สมัครทั้งหมด 290 รายทั่วประเทศ ทั้งนี้มี สุรัส ตั้งไพทูรย์ ผู้อานวยการฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรม สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มาให้ความรู้ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม สันติธร ภูริภักดี และณัฐพล ประดิษฐผลเลิศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด และการวางแผนกลยุทธ์มาให้ความรู้เรื่องการคัดเลือกและนำเสนอคุณค่าของผลิตภัณฑ์/บริการอย่างแตกต่าง เอกวุฒิ สุกิจปราณีนิจ ผู้ช่วยผู้อานวยการธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) มาให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการเขียนแผนธุรกิจ รวมถึงการปรับตัวสู่ตลาดยุคใหม่ของผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอี ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจและขยายช่องทางการตลาดได้มากยิ่งขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 20% สุทธิกานต์ มาสำราญ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมและประสานเครือข่าย (สสว.) กล่าวว่า หลังจากให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการครบทั้งกลุ่มอาหารและไม่ใช่อาหารแล้ว สสว.คัดเลือกสุดยอดเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ(Start-up) กลุ่มที่มีศักยภาพในการตลาด(Rising Star) และกลุ่มที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว (Turn Around) จังหวัดละ 6 ราย ให้เป็นผู้ประกอบการตัวอย่าง ซึ่งจะได้รับความช่วยเหลือด้านการตลาดและเงินทุนต่อยอดธุรกิจต่อไป โดยปีที่แล้วได้คัดเลือกผู้ประกอบการ 3 รายต่อจังหวัด แต่มีคนสนใจค่อนข้างเยอะและอยากได้รับโอกาสดีๆ บ้าง ปีนี้จึงมีความพิเศษด้วยการเพิ่มเป็น 6 รายต่อจังหวัด แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ Non-Food และ Food ซึ่งการสัมนาเน้นที่ Non-Food โดยจุดสำคัญของโครงการคือการสร้างต้นแบบที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนระดับจังหวัด ต้องการที่จะให้ทุกท่านที่เป็นเอสเอ็มอีที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมโครงการกลับไปต่อยอดธุรกิจและเป็นตัวอย่างให้กับจังหวัดและธุรกิจอื่นๆ ในพื้นที่ต่อไป โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการต่างยอมรับและตั้งใจมาเข้าร่วมสัมมนาเพราะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนจาก สสว.เพื่อธุรกิจที่แข็งแรงและมั่นคงอย่างยั่งยืน บุญสุข อารยอัศนี กรรมการโรงแรมอัมพวาน่านอน แอนด์สปา หนึ่งในผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกล่าวว่า โ หลังจากที่ได้เข้าร่วมเป็นผู้ประกอบการในโครงการมองว่าถ้าเราจะโตได้เร็วเราไปคนเดียวได้ แต่ถ้าอยากโตให้ไกลและยั่งยืนต้องหาคนมาร่วม โครงการนี้ทำให้เห็นความหลากหลาย ได้ปรึกษาหารือ มีมุมมองที่เรามองไม่เห็นเช่น เรื่องการทำการตลาดให้ยั่งยืน เรามาได้จนถึงปัจจุบันเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดี แต่เรื่องความยั่งยืนต้องใช้ตัวท้องถิ่น ซึ่งคืออัมพวา เราแก้ปัญหาด้วยการทำแบรนด์โมเดลเพื่อให้รู้เป้าหมายว่าอยากได้อะไร และเทรนทีมงานให้มีจุดเป้าหมายเดียวกัน ขณะเดียวกันใช้คู่ค้า สื่อสารกับซัพพลายเออร์ต่างๆ ให้รู้เป้าหมายด้วยว่าเราต้องการที่จะส่งมอบอะไรให้กับลูกค้าและลูกค้าจะได้ใช้บริการอะไรจากเรา ดังนั้นความรู้แบรนด์โมเดลที่ได้จากการเข้าร่วมโครงการนี้จะทำให้เราแข็งแรงขึ้น จินตนา เฉลิมชัยกิจ กรรมการบริษัท บุ๊คไทม์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่ได้เข้าร่วมเป็นผู้ประกอบการในโครงการ ตอนนี้ทำให้แบรนด์แข็งแรงและยั่งยืนขึ้น ต่อไปจะเริ่มขยายตลาดไปในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้เกิดการขยายตัวทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีโอกาสไปออกร้านแสดงงานที่ทางภาครัฐได้ส่งเสริมในงานนิทรรศการต่างๆ ส่วนในอนาคตวางแผนการตลาดไว้ว่า ยาดมเอี๊ยะแซและยาหม่อง จะจำหน่ายเข้าไปในร้านขายยา และร้านหนังสือชั้นนำ ซึ่งคิดว่าอยากจะขยายตลาดเข้าไปในซีไอเอ็มบีด้วย จึงมาขอเข้าร่วมโครงการที่ทางภาครัฐได้ส่งเสริมในปีนี้