กระทรวงสาธารณสุข ประกาศใช้พ.ร.บ.นมผง เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อเด็กไทยได้กินนมแม่ พร้อมขับเคลื่อน 3 มาตรการ ทั้งส่งเสริม สนับสนุน และปกป้อง เพิ่มโอกาสเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 หรือ พ.ร.บ. นมผง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 กันยายน 2560 นี้ เป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทยที่ประกาศใช้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคกลุ่มทารกและเด็กเล็ก โดยควบคุมการส่งเสริมการตลาด ผ่านสื่อโฆษณาและวิธีการลดแลกแจกแถม ของผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก หรือผลิตภัณฑ์นมผงให้เป็นไปอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กทุกคนได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ บรรลุเป้าหมายให้เด็กทั่วโลกอย่างน้อยร้อยละ 50 ได้รับนมแม่อย่างเหมาะสมในปี 2568 ตามหลักที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ หรือ “1-6-2” คือกินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น นายแพทย์ปิยะสกล  สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข “กฎหมายฉบับนี้ เป็นไปตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดของทารก มีสารอาหารที่มีคุณค่ามากกว่า 200 ชนิด ช่วยการเจริญเติบโต มีภูมิคุ้มกันโรค และการโอบกอดขณะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ และการสร้างสายใยผูกพันระหว่างแม่ลูก” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าว ด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้อ้างอิงจากหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast-milk Substitutes) หรือโค้ดนม ซึ่งเป็นข้อแนะนำสากลที่มีการตกลงกันระหว่างนานาประเทศในเวทีสมัชชาอนามัยโลกในปี 2524 ที่ผ่านมาไทยได้นำโค้ดนมมาใช้โดยขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจแบบสมัครใจ เพื่อควบคุมวิธีการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 และปรับปรุงเป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2551 แต่ยังพบการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดอย่างไม่เหมาะสมอยู่ จึงผลักดันให้มี พ.ร.บ. นมผงฉบับนี้ขึ้นเพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะนี้ กรมอนามัยได้จัดระบบและมอบหมายบุคลากรให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อเฝ้าระวังการละเมิดและฝ่าฝืนกฎหมาย และสื่อสารสร้างความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจในปี 2558 พบว่าเด็กไทยอายุต่ำกว่า 6 เดือนร้อยละ 23 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียว และแม่ที่สามารถให้นมลูกได้ถึง 2 ปี มีเพียงร้อยละ 16 นายแพทย์วชิระ  เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย สำหรับการขับเคลื่อนเพื่อให้เด็กไทยได้กินนมแม่อย่างเหมาะสม มีมาตรการสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1.การส่งเสริม กระตุ้นช่วยเหลือให้แม่มีความพร้อมและตัดสินใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 2.การสนับสนุน โดยจัดบริการคลินิกนมแม่ในโรงพยาบาล การเยี่ยมบ้านหลังคลอด สนับสนุนการจัดมุมนมแม่ในสถานที่ทำงาน เป็นต้น และ3.การปกป้อง โดยคุ้มครองแม่และครอบครัวจากการได้รับข้อมูลและคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง หรือชวนเชื่อให้ใช้อาหารอื่นทดแทนในช่วงที่ยังควรได้รับนมแม่ ที่สำคัญคือการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กให้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยกฎหมายฉบับนี้จะช่วยเพิ่มระดับการปกป้องได้มากขึ้น ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกประเมินว่า หากแม่ได้รับการดูแลทั้งการส่งเสริม สนับสนุน และปกป้อง จะมีโอกาสให้นมแม่สำเร็จได้เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ดร.แดเนียล เอ. เคอร์เทสซ์ ผู้แทนจากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ดร.แดเนียล เอ. เคอร์เทสซ์ ผู้แทนจากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า พ.ร.บ. ดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ ซึ่งประเทศไทยได้ให้การรับรองไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 และสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลไทยในการคุ้มครองสุขภาพและพัฒนาการของเด็กไทย ประเทศไทยจึงได้เข้าร่วมกับอีก 135 ประเทศทั่วโลก ที่มีกฎหมายในการปกป้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ขณะที่ พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องการโฆษณาสารอาหารต่าง ๆ ในนมผงที่ว่าทำให้เด็กฉลาดต่าง ๆ นั้นถือเป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะปัจจัยที่ทำให้เด็กฉลาด พัฒนาการสมวัยมีหลายอย่างทั้งเรื่องอาหารการกิน การเลี้ยงดูของครอบครัวร่วมด้วย ไม่ใช่ว่ากินนมชนิดนั้น ๆ อย่างเดียวแล้วจะฉลาด อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กเพื่อวางหลักเกณฑ์ในการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในวันที่ 18 ก.ย.2560 เมื่อคณะกรรมการฯครบองค์ประชุมจึงจะมีการประชุมเพื่อให้คำแนะนำหรือความเห็นแก่ รมว.สาธารณสุข ในการออกประกาศหรือกฎหมายลูกตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ จากนั้นจึงทยอยออกประกาศกฎหมายลูกฉบับอื่นๆตามมา ซึ่งตาม พ.ร.บ.กำหนดให้ดำเนินการภายใน 180 วัน หลังจากกฎหมายบังคับใช้คือ ภายใน มี.ค.2561