อัยการชี้ คดีสาวหลอกเเต่งงาน เป็นฉ้อโกงผู้เสียหายฟ้องอาญาเรียกค่าสินสอดคืนได้ ระบุเคยมีคดีที่ อสส ชี้ขาดมาแล้ว วันที่ 9 ก.ย. 60 ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสุงสุด กล่าวถึงตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวถึงกรณี น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ หลอกให้บรรดาชายหนุ่มสิบกว่ารายแต่งงานแล้วหอบเงินค่าสินสอดหลบหนีไป หลังจากเข้าพิธีแต่งงานไม่นานว่า หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่สื่อเสนอข่าว ก็แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ของน.ส.จริยาภรณ์ ที่มีเจตนาทุจริตหลอกลวงฝ่ายชายด้วยการเอาความเท็จมากล่าวให้หลงเชื่อว่าจะอยู่กินฉันสามีภริยากับฝ่ายชาย เพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินจำนวนมาก หรือที่เรียกกันตามประเพณีนิยมว่า "ค่าสินสอด" จนฝ่ายชายหลงเชื่อเอาสินสอดมามอบให้กับน.ส.จริยาภรณ์เพื่อจัดพิธีแต่งงาน โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะอยู่กินฉันสามีภริยากับฝ่ายชาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 มาตั้งแต่ต้น เพราะปกติแล้วไม่มีหญิงคนไหนที่จะแต่งงานกับชายจำนวนหลาย ๆ คน ในเวลาติด ๆ ไล่เลี่ยกัน การกระทำของน.ส.จริยาภรณ์จึงเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเรื่องในลักษณะนี้ยังไม่เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยมาก่อน คงมีแต่คำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุดที่ 148/2550 ที่เคยวินิจฉัยเรื่องที่มีข้อเท็จจริงใกล้เคียงกันกับเรื่องนี้ เป็น คดีที่เกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพระโขนง เมื่อปี 2549 โดยเป็นเรื่องที่ฝ่ายชายซึ่งสมรสแล้วได้เข้ามาติดต่อและตีสนิทกับฝ่ายหญิงที่เป็นผู้เสียหายในทางชู้สาว หลังจากนั้นเดือนเศษ ฝ่ายชายได้ขอแต่งงานกับฝ่ายหญิงและขอเงินกับสร้อยคอทองคำจากฝ่ายหญิงไป โดยอ้างว่าจะนำไปใช้จัดงานหมั้นและงานแต่งงาน แต่เมื่อถึงกำหนดจัดงาน ฝ่ายชายหลบหนีไปและไม่สามารถติดต่อได้อีก ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหาไม่ใช่เป็นเพียงการให้คำมั่นว่าจะจัดงานหมั้นและงานแต่งงานแล้วไม่ปฏิบัติตามคำมั่น แต่มีเจตนาหลอกลวงฝ่ายหญิงให้หลงเชื่อว่าจะมีการหมั้นและการแต่งงาน จนฝ่ายหญิงมอบทรัพย์สินให้แก่ฝ่ายชายไป ฝ่ายชายไม่มีเจตนาที่จะหมั้นและแต่งงานกับฝ่ายหญิงมาตั้งแต่ต้น อัยการสูงสุดจึงมีคำชี้ขาดสั่งฟ้องฝ่ายชายในความผิดฐานฉ้อโกง แต่คดีดังกล่าวนั้นขาดอายุความไปแล้ว เนื่องจากผู้ต้องหาหลบหนีไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาฟ้องต่อศาลได้ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี ดร.ธนกฤต ยังกล่าวอีกว่าในกรณีของน.ส.จริยาภรณ์นี้ฝ่ายชายที่ถูกหลอกลวง มีข้อควรต้องระวังว่า การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ ไม่ใช่ความผิดอาญาแผ่นดิน ผู้เสียหายจึงต้องแจ้งความร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 มิฉะนั้น คดีเป็นอันขาดอายุความ หากผู้เสียหายไม่แจ้งความร้องทุกข์ ผู้เสียหายก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในกำหนดเวลา 3 เดือนตามที่กล่าวมาเช่นกัน มิฉะนั้น ถือว่าคดีขาดอายุความ ซึ่งจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อคดีนี้เหตุเกิดตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ชายที่ถูกหลอกลวงบางรายอาจไม่ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ หรือไม่ได้ฟ้องคดีอาญาภายในกำหนดอายุความ ทำให้คดีอาญาของฝ่ายชายบางรายขาดอายุความไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การที่ฝ่ายชายไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์หรือไม่ได้ฟ้องคดีอาญาภายในกำหนดดังกล่าวนั้น ก็ไม่ตัดสิทธิฝ่ายชายที่จะฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องเอาสินสอดหรือทรัพย์สิน คืน รวมทั้งค่าเสียหายได้ภายในอายุความตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเป็นการกระทำละเมิดในทางแพ่งด้วย สำหรับคดีที่ยังไม่ขาดอายุความและอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าฝ่ายชายยังไม่ได้ทรัพย์สินที่หลอกลวงไปคืน อัยการจะขอไปในฟ้องให้ฝ่ายหญิงคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ถูกหลอกลวงไปในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงให้แก่ฝ่ายชายที่เป็นผู้เสียหายด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ส่วนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากทรัพย์สินที่ถูกหลอกลวงนั้น อัยการไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้ฝ่ายหญิงชดใช้ได้ ฝ่ายชายที่เป็นผู้เสียหายต้องมายื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องเพื่อขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่ตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ซึ่งเป็นบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาความเสียหายทางแพ่ง โดยกำหนดให้ผู้เสียหายเป็นโจทก์ในคดีส่วนแพ่งและมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายทางแพ่งได้ในคดีอาญาโดยไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหาก ซึ่งผู้เสียหายจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 253 ด้วย "คดีนี้เป็นการกระทำความผิดที่ฝ่ายชายจำนวนหลายรายถูกหลอกลวง คนละวัน คนละเวลา จำนวนเงินที่ถูกหลอกลวงก็แตกต่างกัน ความผิดที่กระทำต่อฝ่ายชายที่เป็นผู้เสียหายแต่ละราย จึงเป็นการกระทำที่แยกจากกันได้ และจึงเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงหลายกรรมต่างกัน ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดก็ต้องเรียงกระทงลงโทษไป"ดร.ธนกฤตกล่าว