คาดการณ์อนาคต Digital Future Trends–Next–> คือยุค Digital 5.0– หรืออนาคตอาจเรียกยุค “Thailand 5.0” ต่อไปอนาคตมีแน่ๆ “มนุษย์” อาจจะหายตัวไปที่ไหนๆก็ได้ในโลกใบนี้ เหมือนที่เกิดขึ้นในภาพยนต์ไซไฟ แต่ทั้งนี้ก่อนอื่นไปทำความรู้จัก “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งหลายคนอาจยังไม่เข้าใจ
ทั้งนี้ “อาจารย์ธวัชชัย สุขสีดา (อ.ต้นรัก)” รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้คำอธิบายว่า โลกใบนี้ในตอนนี้มี “พลวัต” ด้วยเทคโนโลยี-ดิจิทัล แห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งอยากยกตัวอย่างการสำรวจ เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองอยู่ ณ จุดใด แล้วควรพัฒนาตนเองอย่างไรบ้าง ซึ่งไม่ได้เป็นการแบ่งชั้นวรรณะ ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ต้องให้เกียรติซึ่งกัน และกันในยุคที่ทุกคนสามารถพูดคุยส่งสาร แสดงความคิดเห็นได้อย่างง่ายๆและสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้มากมายในยุคดิจิทัลนี้
สำหรับตัวอย่างในการทดลองสำรวจตัวเองด้วยวิธีง่ายๆ โดยอาจเปรียบเทียบได้กับว่า ถ้าเรามีโทรศัพท์ แต่เรายังใช้งานเพียงเพื่อการสื่อสารพื้นฐาน โทรคุย แชทเท่านั้น เรายังคงเป็น “คนไทยยุค 1.0” ถ้าหากเราใช้มือถือในการส่ง e-mail, ส่งไฟล์เอกสาร หรือใช้ประโยชน์ในการทำงานหรือใช้เพื่อประโยชน์ในกิจวัตรประจำวันต่างๆของเราเอง เราน่าจะยกระดับตนเองเป็น “คนไทยุค 2.0” ได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากเราสามารถใช้มือถือ “สมาร์ทโฟน” ได้ราวกับคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ “อินเทอร์เน็ต” ในการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ พัฒนาตนเอง ติดต่อทำธุรกิจกับคนทั่วโลกได้ เราอาจได้ชื่อว่าเป็น “คนไทยยุค 3.0”
ยิ่งกว่านั้นหากเราสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างเครือข่าย สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งนำไปสู่การผลิตการเกิดสิ่งมีค่าด้วยความรู้เหล่านั้นแล้ว เราจะรู้สึกว่า “ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น” เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำผ่านๆมา แบบนี้ท่านได้ชื่อว่าเป็น “คนไทยในยุค 4.0” แน่นอน
ดังนั้นโดยสรุปแล้วการขับเคลื่อนประเทศสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” นั้น ไม่ได้สำคัญที่ว่า “เราจะมีอะไร” แต่สิ่งสำคัญคือ “เราใช้สิ่งที่ท่านมีได้อย่างไร และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดหรือไม่” โดยเฉพาะในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมาในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยอยู่บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็น “คนไทยยุค” 1.0, 2.0, 3.0 หรือ 4.0 ก็ขออย่าหยุดที่จะพัฒนาตนเอง ซึ่งสิ่งที่อยากให้ทุกคนได้ทำ คือ นอกจากการจะพัฒนายกระดับตนเองได้แล้ว ทุกคนยังต้องหันหลังมามองคนข้างหลัง แล้วยื่นมือช่วยเหลือ และแบ่งปัน เพราะทุกคนอยู่ใน “สังคมไทยใจเดียวกัน” การเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง ไปพร้อมๆกันในยุคไทยแลนด์ 4.0
“ผมคาดการณ์อนาคตมาแน่ “คนไทยยุค 5.0” หรือ “Digital 5.0” เพราะต่อไปในอนาคต เราคงนั่งดูตัวเลขเงินผ่านเข้า-ผ่านออกจากบัญชี ทางหน้าจอมือถือของเราโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เงินกระดาษของเราก็จะเป็นแค่ตัวเลขดิจิทัลวิ่งไปวิ่งมาให้เรานั่งมองแค่อย่างเดียว และก็เชื่อว่าอนาคตถ้าเราอยากหายตัวไปไหนมาไหนต่อไปแค่เรากด
“Future Machine” เราอาจหายตัวไปที่ไหนสักที่ ที่ที่เราอยากจะไปก็เป็นได้ และยุคนั้นแหละครับคือ ยุค “Digital 5.0” หรือยุค “ไทยแลนด์ 5.0”
ยิ่งกว่านั้นหากเราสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างเครือข่าย สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งนำไปสู่การผลิตการเกิดสิ่งมีค่าด้วยความรู้เหล่านั้นแล้ว เราจะรู้สึกว่า “ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น” เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำผ่านๆมา แบบนี้ท่านได้ชื่อว่าเป็น “คนไทยในยุค 4.0” แน่นอน
ดังนั้นโดยสรุปแล้วการขับเคลื่อนประเทศสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” นั้น ไม่ได้สำคัญที่ว่า “เราจะมีอะไร” แต่สิ่งสำคัญคือ “เราใช้สิ่งที่ท่านมีได้อย่างไร และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดหรือไม่” โดยเฉพาะในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมาในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยอยู่บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็น “คนไทยยุค” 1.0, 2.0, 3.0 หรือ 4.0 ก็ขออย่าหยุดที่จะพัฒนาตนเอง ซึ่งสิ่งที่อยากให้ทุกคนได้ทำ คือ นอกจากการจะพัฒนายกระดับตนเองได้แล้ว ทุกคนยังต้องหันหลังมามองคนข้างหลัง แล้วยื่นมือช่วยเหลือ และแบ่งปัน เพราะทุกคนอยู่ใน “สังคมไทยใจเดียวกัน” การเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง ไปพร้อมๆกันในยุคไทยแลนด์ 4.0
“ผมคาดการณ์อนาคตมาแน่ “คนไทยยุค 5.0” หรือ “Digital 5.0” เพราะต่อไปในอนาคต เราคงนั่งดูตัวเลขเงินผ่านเข้า-ผ่านออกจากบัญชี ทางหน้าจอมือถือของเราโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เงินกระดาษของเราก็จะเป็นแค่ตัวเลขดิจิทัลวิ่งไปวิ่งมาให้เรานั่งมองแค่อย่างเดียว และก็เชื่อว่าอนาคตถ้าเราอยากหายตัวไปไหนมาไหนต่อไปแค่เรากด
“Future Machine” เราอาจหายตัวไปที่ไหนสักที่ ที่ที่เราอยากจะไปก็เป็นได้ และยุคนั้นแหละครับคือ ยุค “Digital 5.0” หรือยุค “ไทยแลนด์ 5.0”