เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 15 ก.ย.60 พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ พร้อมกับพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รองผบช.ทท. พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง ผบก.ปอศ พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รองผบก.ป. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รองผบก.ทท.1 นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผอ.กองคดี1 สำนักงาน ปปง นายวิทยา นิติธรรม ผอ.กองกฏหมาย ปปง เรียกประชุมชุดทำงานคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งประกอบไปด้วย บก.ปทส. บก.ปอศ. บช.ทท. และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร โดยใช้เวลาประชุมติดตามคดีดังกล่าวนานกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานการเสียภาษีของบริษัททัวร์ที่อยู่ในคดี พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้า การวางแนวทางในการทำงานในคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งขณะนี้เป็นขั้นตอนหน้าที่ของพนักงานอัยการที่อยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ทั้งนี้ในการสืบสวนสอบสวนของคณะสอบสวน.ที่ทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้ตั้งได้เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขอเรียนชี้แจงว่าขั้นตอนการทำสำนวนเป็นไปด้วยมาตรฐาน ในชั้นพนักงานสอบสวนมีการรวบรวมพยานหลักฐานไปตามอำนาจหน้าที่ และปราศจากการแทรกแซง และเมื่อสอบสวนเป็นที่แน่ชัดแล้วได้มีการประชุมร่วมกันว่าการสอบสวนมีการเพียงพอหรือไม่ ก่อนสรุปสำนวนคดีพร้อมลงความเห็นในการสั่งฟ้องไปให้ทางพนักงานอัยการ พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ กล่าวอีกว่า ทางพนักงานอัยการเห็นว่าสำนวนและพยานหลักฐานก็ทำความเห็นสั่งฟ้องตามหลักฐาน ทั้งนี้ในขั้นตอนนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการที่เมื่อตรวจสอบสำนวนแล้วเห็นสำนวนครบถ้วนถูกต้องก็ลงความเห็นสั่งฟ้อง แต่ถ้าสำนวนไม่ครบถ้วนก็จะไม่ทำความเห็นสั่งฟ้อง แต่คดีนี้จะเห็นได้ว่าทางพนักงานอัยการมีความเห็นว่าการสืบสวนสอบสวน พยานหลักฐานที่นำมาประกอบสำนวนมีเพียงพอ ครบถ้วนถูกต้อง จึงทำความเห็นสั่งฟ้องตามขั้นตอนถือว่าการทำงานของคณะพนักงานสอบสวนเป็นไปด้วยความถูกต้อง มาตรฐาน และพนักงานอัยการก็เล็งเห็นเช่นกันว่าพยานหลักฐานมีเพียงพอที่จะให้ศาลพิจารณาลงโทษได้ สำหรับเรื่องของมาตรการทางภาษีเป็นขั้นตอนของหน่วยราชการของสรรพากรที่ยังไม่ได้มาแจ้งเพิ่ม ทุกอย่างเป็นเรื่องการสืบสวนสอบวน หากใครกระทำความผิดก็จะดำเนินการว่าไปตามข้อเท็จจริง มีรายงานด้วยว่าวันนี้ กรมสรรพกร จะส่งตัวแทนเข้าพบหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้บริหารบริษัทโอเอ ทรานสปอร์ต จำกัดในข้อหาหลบเลี่ยงภาษี เป็นวงเงิน 7,000 ล้านบาท ด้วย ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น ปปง.ก็จะดำเนินการในข้อหาฟอกเงินด้วย ต่อมาเวลา 17.00 น. ที่ กก.1 บก.1 ทท. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางอธิบดีกรมสรรพากร ได้มอบหมายสั่งการให้นายศรีนรงค์ แกล้วทะนงค์ นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร ตัวแทนในการร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับบริษัทโอเอทรานสปอร์ต ในฐานความผิดตาม ม.37 แห่งบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฏากร ว่าด้วยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จหรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือเพื่อขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกันหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือขอคืนภาษีอากร ภายหลังการแจ้งความ พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รองผบช.ทท.พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง ผบก.ปอศ พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รองผบก.ป. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รองผบก.ทท.1 นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผอ.กองคดี1 สำนักงาน ปปง.นายวิทยา นิติธรรม ผอ.กองกฏหมาย ปปง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ได้ประชุมหารือ โดยใช้เวลานานกว่า 30 นาที ต่อมา พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ จะเปิดเผยว่า ทางกรมสรรพากรได้ทำการตรวจสอบ ในเบื้องต้นพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งคดีนี้เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยผิดกฎหมาย อีกทั้งการเข้าตรวจสอบการประกอบธุรกิจนำเที่ยวบริษัทแห่งหนึ่ง หรือที่เรียกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบหาพยานหลักฐาน ซึ่งภายหลังทางกรมสรรพากรได้ขยายผลพบว่ามีการหลบเลี่ยงภาษี ตามม.37แห่งประมวลกฏหมายรัษฏากร และได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนบก.ปอศ.เป็นที่เรียบร้อยเพื่อให้ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้รับเอกสารที่เป็นหลักฐานในทางคดีเบื้องต้นมาเพื่อขยายผลและตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้านนายพีระพัฒน์ กล่าวว่า จากการที่ทางเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรได้เข้าร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว หลังพบกระทำความผิดในม.37 ตามประมวลรัษฎากร ในเรื่องของการหลีกเลี่ยงภาษี เป็นเวลานานกว่า 2 ปี ซึ่งในส่วนนื้ทางสำนักงานปปง. ยังไม่ลงในรายละเอียดต้องรอเอกสารที่ชัดเจนจากสรรพากรอีกครั้งว่า ว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฏหมายฟอกเงินหรือไม่ ซึ่งตามความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่เกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษี ต้องมีองค์ประกอบเข้า 4 ข้อใหญ่ดังนี้ 1เป็นผู้กระทำความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ และมาตรา 90/4 แห่งประมวลรัษฎากร, 2หลีกเลี่ยงภาษีอากร ฉ้อโกงภาษีอากร เป็นจานวนตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป หรือขอคืนภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นทานองเดียวกัน ตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป 3. กระทำในลักษณะกระบวนการ หรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิด รายได้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษี แล 4. มีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้ เมื่อเข้าองค์ประกอบทั้ง 4 ประการข้างต้น ให้ถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐาน ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งกรมสรรพากรก็จะส่งข้อมูลให้สำนักงานป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงินดาเนินการตามกฎหมายต่อไป มีรายงานว่าทางกรมสรรพากรได้ตรวจสอบภาษีของบริษัทโอเอทรานสปอร์ต จำกัด ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2554-2559 รวมทั้งสิ้น 6 ปี ซึ่งเบื้องต้นทางกรมสรรพากรได้ตรวจสอบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือVAT 7% ในรอบปี 2558-2559 พบว่า มีการหลบเลี่ยงภาษี ของบริษัทโอเอทรานสปอร์ต จำกัด เป็นเงินมากกว่า 7,000 ล้านบาท