แม่เด็ก 4 ขวบทาสีรถเข้าแจ้งความเอาผิดคนโพลส์โซเชียนโพลสข้อความเกินจริง จากกรณี ที่ใช้เฟสบุ๊คนามว่า นัท ไข่เจียว ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "มีลูกได้ แต่มีความรับผิดชอบไม่ได้ อย่ามีมันเลยครับ อีสัด ลูกมึงเล่นทาสีบ้านบนรถกูเลย จ้าาาาาาาาาา ถ่ายรูปเด็กไว้ ลูกมึงเหลืองยันกระเจี๊ยว ยังกล้าบอกว่าลูกไม่ได้ทำอีก จ้าาาาาาาาาา ตำรวจก็ไม่พิจารณาหลักฐานกูเลย จะเอาคลิปวีดีโอ จ้าาาาาาา สังคมป่วยเพราะคนแบบนี้มีมากขึ้นทุกวัน เห็นแก่ตัว ติดสินบน หน้าด้าน สุดท้ายลอยนวล แล้วคนดีๆเสียเปรียบคนพวกนี้ แล้วคนดีจะดีไปทำไม อื่มมมม มันน่าคิด #ไม่เครียดหรอก #สีน้ำเงินก็น่าจะสวยนะ #ล้อก็เก่าแล้วด้วย" และได้มีการนำรูปถ่ายของเด็กชายวัย 4 ขวบ มาโพสต์ทำให้มีคนเข้ามากดไลน์ กดแชร์ จำนวนมาก ในคอมเม้นส่วนใหญ่เป็นการต่อว่าผู้ปกครองของเด็ก เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 ก.ย. นางสาวสุพรรษา นวนสุวรรณ อายุ 27 ปี แม่ของเด็กชายวัย 4 ขวบ ได้เดินทางมาพร้อมกับนายจักรพันธ์ กองแก้ว ทนายของสำนักงานกฎหมายวงศ์กรณ์ ที่สภ.บางพลี เพื่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ใช้เฟสบุ๊ค นามนัท ไข่เจียว ในฐานความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่คอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี 2560 ด้านนายศุภสิทธิ์ ศิริ หัวหน้าสำนักงานกฎหมายวงศ์กรณ์ และนายจักรพันธ์ กองแก้ว ได้ออกมาระบุว่า ผู้เสียหายรายนี้ซึ่งตกเป็นจำเลยสังคมและถูกโจมตีอย่างหนักจากข้อมูลที่บิดเบือนได้เข้ามาขอความเป็นธรรมกับสำนักงานกฏหมายตนเอง หลังจากได้พูดคุยสอบถามข้อเท็จจริงแล้วจึงทราบว่ามีการลงโพสต์บิดเบือนความจริงทำให้เกิดความเสียหายต่อครอบครัวและเด็ก รวมถึงสภาพจิตใจที่ย่ำแย่จาการถูกสังคมประณาม และจากการตรวจสอบข้อความในโพสต์รวมถึงการเผยแพร่หน้าของเด็กวัย4ขวบซึ่งถือว่ากฎหมายคุ้มครอง ถือว่าเข้าข่ายความผิดชัดเจนจึงรวบรวมเอกสารต่างๆเข้าเเจ้งความร้องทุกข์ในคดีอาญาในครั้งนี้ นางสาวสุพรรษา ได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า ในวันเกิดเหตุตนเองกำลังเก็บร้านอยู่นั้นมีคนมาแจ้งว่าลูกชายได้ใช้สีทาที่รถของคู่กรณี หลังทราบเรื่องก็รีบไปดูสภาพรถ และพบว่ามีสีติดที่รถจริงจึงสอบถามข้อเท็จจริงกับทางเจ้าของรถกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเจ้าของรถระบุมีเด็กสองคน ซึ่งหนึ่งในสองคือลูกชายได้นำสีมาทาที่รถตนเองเมื่อทราบว่ามีลูกชายทำด้วยและเห็นว่ามีสีติดที่ตัวลูกชายจริง ตนก็ได้ให้เจ้าของรถหาอู่ทำสีเพื่อจะได้รีบขัดสีและยินดีชดใช้ค่าเสียหาย แต่คู่กรณีไม่ยินยอมและเรียกเงินค่าเสียหายจำนวน35,000บาทซึ่งตนไม่มีเงินมากถึงขนาดนั้น จึงบอกให้เรียกประกันมาเคลมและจะจ่ายจริงตามที่ประกันระบุ อาจทำให้ฝ่ายคู่กรณีไม่พอใจและเรียกประกันมาและประกันจะให้ตนเองเซ็นรับผิดฝ่ายเดียวทั้งที่มีเด็กสองคนซึ่งก็ยังไม่มีใครเห็นหรือมีหลักฐานระบุชัดว่าลูกชายตนเองทำเพียงคนเดียว จึงพากันมาตกลงที่สภ.บางพลีและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานพร้อมทั้งให้ประกันดำเนินการขัดสีและเรียกเก็บตนภายหลัง จากนั้นจึงแยกย้ายกับบ้านพักจน กระทั่งวันรุ่งขึ้นมีเพื่อนแคปหน้าจอพร้อมทั้งภาพใบหน้าบุตรชายและยังมีการโพสต์ข้อความบินเบือนจนตนเองเสียหายถูกสังคมโจมตี จนเกิดความเครียดทั้งครอบครัวและยิ่งสุดเทือนใจมากกว่านั้นเมื่อลูกชายเอ่ยคำว่าไม่อยากโดนตำรวจจับทำให้ยิ่งสะเทือนใจ ตนเองขอยืนยันว่าไม่ใช่ไม่รับผิดชอบ ยินดีรับผิดชอบในส่วนค่าเสียหาย แต่การที่มีการโพสต์ใส่ความและนำรูปภาพลูกชายไปลงนั้นจะทำให้เด็กกลายเป็นคนมีปมด้อยและยังเสียหายต่อครอบครัวอย่างมากจึงเดินทางมาเเจ้งความเอาผิดในครั้งนี้