เริ่มประเดิมเปิดฉากจากการปาฐกถาในฐานะ “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” ของ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” บนเวทีการประชุมสุดยอดแห่ง “สมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติ” หรือ “ยูเอ็นจีเอ”ครั้งที่ 72 ประจำปี 2017 ซึ่งมีขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ในมหานครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางการจับจ้องมองของสายตาประชาคมโลก ในฐานะที่ “สหรัฐอเมริกา” หรือ “พญาอินทรี” ยังคงรั้งขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งของมหาอำนาจบนผืนพิภพใบนี้ พร้อมกับเงี่ยหูฟังอย่างใจจดจ่อว่า คนที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้นำชาติมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกที่ว่า จะมีวาทกรรมในการแสดงปาฐกถาครั้งแรก หรือเป็นปฐม บนเวทียูเอ็น นับตั้งแต่ที่นายทรัมป์ ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” เมื่อต้นปีนี้หกันเยี่ยงไร? และก็ต้องบอกว่า สมดังคำผู้รู้ท่านว่า “สากัจฉายะ ปัญญา เวทิตัพพา” คือ ความมีปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา คือ ให้พูดออกมา นั่นเอง โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ก็สร้างปรากฏการณ์แห่งความเป็นผู้นำยอดยี้กันอีกคำรบ เมื่อปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงปาฐกถาบนโพเดียม ด้วยวาทกรรมที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง หรือ “เฮท สปีช (Hate Speech)” ชนิดที่ทำให้บรรดาผู้นำชาติสมาชิกยูเอ็นทั่วโลกที่ฟังปาฐกถา พากัน “อึ้ง” ก่อนออกอาการรังเกียจเดียดฉันท์ พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ถึงวาทกรรมข้างต้นของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเผ็ดร้อนตามมา โดย “ประธานาธิบดีทรัมป์” หยิบยกเรื่อง “เกาหลีเหนือ” เจ้าของฉายา “โสมแดง” ขึ้นเป็นประเด็นปาฐกถา ทว่า บรรดานักวิเคราะห์หลายคน แสดงทรรศนะว่า น่าจะเป็นการ “บริภาษ” คือ “ก่นด่าประณาม” กันเสียมากกว่า ต่อเกาหลีเหนือ ชาติที่ได้ชื่อว่า เป็น “ไม้เบื่อ ไม้เมา” เพราะทำ “สงครามน้ำลาย” ฟาดฝีปากกันนับตั้งแต่ที่เขา ย่างเข้า “ทำเนียบขาว” ใหม่ๆ กันเลยทีเดียว ด้วยการระบุว่า พญาอินทรีสหรัฐฯ จะทำลายล้างเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก หากสถานการณ์บีบคั้นให้สหรัฐฯ ต้องดำเนินการพิทักษ์ปกป้องตนเอง ต่อการถูกคุกคามจากทางการเปียงยาง พร้อมกันนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ตีตราประทับหน้าต่อ “นายคิม จอง-อึน” ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือด้วยว่า เป็น “มนุษย์จรวด (Rocket Man)” ที่กำลังดำเนินภารกิจปลิดชีพตนเอง และจะพาระบอบการปกครองของเขาไปสู่ความหายนะ ทั้งนี้ เสียงก่นประณามบนเวทีปาฐกถาของประธานาธิบดีทรัมป์ข้างต้น ก็มาจากการที่ “เกาหลีเหนือ” ภายใต้การนำของ “นายคิม จอง-อึน” ทดลองสมรรถนะของขีปนาวุธ คือ จรวด รวมไปถึงอาวุธนิวเคลียร์กันหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา นั่นเอง ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำฝีปากกล้าของชาวเมืองลุงแซม ยังระบุด้วยว่า ระบอบการปกครองของนายคิม จอง-อึน ที่ทดลองยิงขีปนาวุธ และทดสอบอานุภาพอาวุธนิวเคลียร์กันอยู่เนืองๆ นั้น ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของโลก และเชื่อแน่ว่า ไม่มีประเทศใด ที่จะเห็นดีเห็นงามกับการที่เกาหลีเหนือ มีอาวุธมหาประลัยที่ทรงอานุภาพทำลายล้างร้ายแรงไว้ในครอบครอง โชคดีที่ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะขึ้นกล่าวปาฐกถา ปรากฏว่า คณะตัวแทนของผู้นำเกาหลีเหนือ เดินออกจากห้องประชุมกันไปเสียก่อน และไม่เข้ามาตลอดการแสดงปาฐกถาของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นเวลา 42 นาที มิเช่นนั้น อาจได้เห็นการปฏิกิริยาตอบโต้จากคณะตัวแทนของผู้นำโสมแดงกันเป็นแน่ ใช่แต่เท่านั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังฟาดงวง ฟาดงา เลี้ยวข้ามฟากไปถึง “อิหร่าน” ในฐานะชาติคู่ปรับเก่าแห่งแดนเปอร์เชียด้วย ถึงขนาดเอ่ยปากเรียก ระบอบการปกครองของอิหร่านและรัฐบาลเตหะรานว่า เป็น “ฆาตกร” เป็น “รัฐบาลเผด็จการที่ฉ้อฉล หลบซ่อน หลังฉากหน้า ที่พยายามสร้างภาพว่า เป็น “ประชาธิปไตย” พร้อมกับตำหนิประณามว่า ระบอบการปกครองของอิหร่าน ได้ทำให้ประเทศที่เคยรุ่งเรือง มั่งคั่ง และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์วัฒนธรรม กลายเป็นประเทศอันธพาลที่ขัดสน โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ นั่นคือ ความรุนแรง การละเลงเลือด และความวุ่นวาย จากการที่รัฐบาลเตหะราน ใช้ทรัพยากรมหาศาลที่พวกเขามีอยู่ ไปสนับสนุนขบวนการก่อการร้าย ที่สังหารแม้กระทั่งชาวมุสลิมด้วยกัน ตลอดจนโจมตีกลุ่มประเทศอาหรับอื่นๆ ปาฐกถาของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังกล่าวย้ำว่า พวกเราไม่สามารถปลอยให้รัฐบาลฆาตกรเยี่ยงนี้ ทำลายความมั่นคงและเสถียรภาพ พร้อมๆ กับการสร้างขีปนาวุธ และพวกเราจะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ปกป้องโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ยังแสดงปาฐกถาโจมตีต่อทางการเวเนซุเอลา อีกหนึ่งชาติคู่ปรปักษ์ในภูมิภาคละตินอเมริกา หรืออเมริกาใต้ โดยระบุว่า เป็นรัฐบาลที่ทุจริต หรือเผด็จการโกงกิน โดยผู้นำเผด็จการที่เป็นสังคมนิยม ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า สหรัฐฯ เตรียมที่จะดำเนินการตอบโต้ต่อรัฐบาลการากัส ภายหลังเสร็จสิ้นปาฐกถา ที่น่าจะเป็นเสียงก่นประณามเสียมากกว่ากันเยี่ยงนี้ ก็ได้มีปฏิกิริยาตามมาโดยทันที อย่างทางการเวเนซุเอลา โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้สวนกลับว่า ไม่ผิดอะไรกับการข่มขู่ต่อประเทศของตน ขณะที่ ผู้นำคนอื่นๆ และนักวิเคราะห์หลายคน แสดงทรรศนะว่า เหมือนมิใช่ปาฐกถาในยุคคริศต์ศวรรษที่ 21 แต่น่าจะถอยหลังกลับไปสู่ยุโรปสมัยกลางอย่างไรอย่างนั้น และบางคนก็ตำหนิวิจารณ์ว่า น่าจะเป็นปาฐกถาของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่แข็งกร้าว หรือถึงขั้นก้าวร้าวที่สุดเท่าที่เคยมีมา อย่างไรก็ตาม เมื่อว่าตามสำนวนไทยแล้ว ก็ต้อง คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ คือ ก็มีผู้ที่เห็นด้วยกับปาฐกถาของประธานาธิบดีทรัมป์ ด้วยเหมือนกัน อย่าง ส.ว.คอรีย์ การ์ดเนอร์ สังกัดพรรครีพับลิกัน ได้แสดงความชื่นชมในความเข้มแข็งของนายทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ และยังบอกว่า เหมาะสมแล้วที่ตราหน้านายคิม จอง-อึน ว่า เป็น “มนุษย์จรวด” เช่นเดียวกับ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่ออกมาขานรับปาฐกถาของประธานาธิบดี พร้อมกับให้คำมั่นถึงการยืนหยัดต่อสู้กับอิหร่าน ชาติคู่ปรับร่วมภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่กำลังขยายอิทธิพลออกไปทั้งในซีเรียและอิรัก จนอิสราเอล หรือแม้กระทั่งชาติมุสลิมอาหรับที่เป็นสายซุนหนี่หวั่นเกรง