"บอกได้เลยว่า จากที่ผ่านมาเราอาจจะเคยรู้สึกระแวงกับความไม่เข้าใจของฝ่ายต่างๆ แต่พอเราได้รับดอกไม้พระราชทานแล้ว มันทำให้เรามีความรู้สึกว่า เราไม่กลัวอะไรแล้ว เราจะสู้ให้เต็มที่ ในเรื่องของการทำความดี" ฤชวีพัฒน์ จิราวัฒน์มงคล หรือ “ช่างกอล์ฟ” แฮร์สไตลิสต์คนดัง เจ้าของเพจ “นางฟ้าซาลอน” ที่เพิ่งได้รับพระราชทานช่อดอกไม้ อุปกรณ์ตัดผมและเสื้อยืด ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในฐานะที่เป็นช่างตัดผมจิตอาสา ตระเวนตัดผมและนำสิ่งของไปช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยและพิการทั่วประเทศมานานร่วม 10 ปี “ช่างกอล์ฟ” สนทนากับID-Talk ถึงแรงบันดาลใจในการทำเพจนางฟ้าซาลอน การก้าวข้ามเสียงวิจารณ์ต่างๆ และเหนือสิ่งอื่นใด พลังใจที่ยิ่งใหญ่หลังได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ….. -ที่มาของเพจนางฟ้าซาลอน เป็นเพจที่เปิดขึ้นมาด้วยเหตุผลแรกคือต้องการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการทำความดีที่ไม่เน้นรูปแบบการใช้เงิน อยากให้ทุกคนได้เห็นว่าเราใช้อาชีพของเราออกไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ เพื่อให้คนที่ไม่มีเงิน ยากจน หรือคนที่อยากทำความดี ที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรให้เขากลับไปดูว่าามีอาชีพอะไร มีความสามารถตรงไหนก็สามารถนำสิ่งที่เขามีอยู่มาทำประโยชน์เพื่อสังคมได้ ซึ่งความจริงเพจนี้ไม่ได้ชื่อนางฟ้าซาลอนมาตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ตั้งชื่อเพจว่าเอ็กซ์ตรีมลี่ หมายถึงต้องลุ้นระทึกตลอดเวลามาเปลี่ยนเป็นเพจนางฟ้าซาลอน เนื่องจากรายการคนค้นคนได้มาถ่ายทำชีวิตของพี่ เขาไม่รู้จะตั้งชื่อตอนของพี่ว่าอะไรในวันออกอากาศ ก็นั่งคิดไปคิดมาแล้วเขาบอกว่า ตั้งชื่อว่านางฟ้าไหม นางฟ้าที่ไม่ได้หมายถึงคนที่สวย รูปร่างดี และอาชีพของเราเป็นช่างตัดผม ก็เป็น “นางฟ้าซาลอน” ไม่ได้เป็นนางฟ้าที่มีคธา แต่เป็นนางฟ้าหน้าตาอัปลักษณ์ หน้าตาน่ากลัวมีลอยสักเต็มตัว แต่จิตใจงดงามประมาณนี้ เป็นชื่อที่ตรงข้ามกับตัวเรามาก แต่มันสะท้อนถึงความดีที่พี่ทำ พี่เคยไปเดินตลาดนัดแล้วมีแฟนคลับเจอแล้วทักพี่ว่า “พี่นางฟ้าสวัสดีค่ะ” แต่คนที่เขาไม่รู้จักเรา ได้ยินเข้าหันมามองก็บอกว่านางฟ้าอะไรโคตรน่ากลัวเลยอะไรแบบนี้ นี่คือการตัดสินคนที่ภายนอก -ได้ยินชื่อนี้แล้วปิ๊งเลยใช่ไหม ใช่ค่ะ เพราะเวลาคนพูดถึงนางฟ้า จะคิดว่าต้องเป็นผู้หญิง ผมยาวสวยและรวยมาก แต่พอเราปรากฏตัวนี่ตรงกันข้ามเลย น่ากลัว เป็นกะเทย มีลอยสักเหมือนโจร -เพจนางฟ้าซาลอนต้องการสื่อสารในเรื่องของการทำความดี นอกจากจะเผยแพร่กิจกรรมของตัวเราเองแล้ว ยังนำกิจกรรมของคนอื่นมาเผยแพร่ด้วย พี่สนับสนุนให้คนทำความดี อย่าเรียกพี่ว่าเป็น “เน็ตไอดอล” เลยดีกว่า เรียกว่าเป็นผู้ให้แรงบันดาลใจ หรือเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ มีหลายคนที่เขาติดตามเรา เห็นเราเป็นแบบอย่าง และนำสิ่งที่เขาทำได้ไปทำ เช่น ไปช่วยเหลือผู้พิการ ออกไปให้ความรู้คนอื่น เขาจะส่งรูปมาให้ พี่ก็จะเอาเรื่องราวที่พวกเขาได้ทำมาแชร์ในเพจ -เป็นการส่งต่อการทำความดีให้แก่กันและกัน เข้าใจว่ามีจุดประสงค์สื่อสารกับผู้ป่วยและผู้พิการเปิดโอกาสให้ติดต่อด้วย ใช่ค่ะ เป็นเรื่องสำคัญเลย การทำความดีของพี่มาจาก 2 ส่วน คือกลุ่มคนที่ขอความช่วยเหลือ โดยตัวพี่เองเป็นผู้ลงมือลงพื้นที่ไปช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ผู้พิการ เพราะฉะนั้นเพจนางฟ้าซาลอน จะครอบคลุมถึงคนที่มีญาติพี่น้องที่พิการ หรือใครก็ตามที่พบเห็นผู้พิการยากไร้ ตามสถานที่ต่างๆ ที่เขาต้องการขอความช่วยเหลือ คนเหล่านี้จะส่งเรื่องมาหาพี่ทางกล่องข้อความ รวมถึงตัวผู้พิการเองที่เขาสมารถใช้โซเชียลได้ บางคนเป็นอัมพาตนอนอยู่กับเตียงแต่แขนยังสามารถใช้งานได้ ตายังมองเห็นเขาก็สามารถพูดคุยกับพี่ได้ผ่านทางเฟซบุ๊ก และกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มคนที่อยากจะทำบุญ แต่ไม่มีเวลาลงพื้นที่ไปทำเอง พวกมนุษย์เงินเดือน ทำงานออฟฟิสเมื่อเขาเห็นเรื่องราวในเพจ นางฟ้าซาลอน ก็สามารถส่งเงินไปช่วยเหลือผู้พิการได้เลย ปัจจุบันมีอินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้งสามารถโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือใหักับผู้พิการได้โดยตรง หมายความว่าเขาอยู่นิ่งๆ ทำงานไปด้วยเขาได้ทำบุญไปด้วย ตัวพี่เองก็เป็นเหมือน “สะพานบุญ” -เกิดจุดเปลี่ยนอะไรในชีวิตที่ทำให้เราหันมาทำอะไรเพื่อคนอื่น เพราะพี่อกหัก เดิมพี่ทำงานเป็นพนักงานโรงงาน ไปทำงานตามจังหวัดต่างๆได้ไปพบรักอยู่ที่จ.ปราจีนบุรีกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อยู่ด้วยกันหลายปีจนสัญญาว่าจะแต่งงานกัน โดยครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับรู้ เรามีความคาดหวังกับความรักครั้งนี้มาก เพราะมันเป็นความรักของคนรักร่วมเพศ ที่เราจะได้แต่งงานกับคนเพศเดียวกัน เมื่อ 10 ปีที่แล้วสำหรับพี่มองว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก อยากประกาศให้โลกรู้ว่า ผู้ชายกับผู้ชายก็แต่งงานกันได้ แต่ความรักก็พังลง เมื่อแฟนพี่มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แล้วได้เจอแฟนใหม่ เป็นอาจารย์สอนเสริมสวยและเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยชื่อดังในกรุงเทพฯ มันทำให้พี่เสียใจมากจนคิดที่จะฆ่าตัวตาย คือวันนั้นเราสองคนเลิกกันแล้ว แต่พี่พยายามจะไปงอนง้อขอคืนดีกับเขาที่บ้าน เราขับรถของเขาไปด้วยกัน ตอนนั้นตั้งใจจะหักพวงมาลัยรถให้ชนต้นไม้ เพื่อให้ตายไปเลยทั้งคู่ ประมาณว่า ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ตายเสียดีกว่า แต่พอตัดสินใจทำแบบนั้น ก็มีหน้าของแม่พี่แวบขึ้นมา เลยนึกในใจว่า นี่ขนาดเราปกติ อาการครบ 32 เขายังทิ้งเราไปได้ แล้วถ้าเกิดขับรถชนต้นไม้แล้วไม่ตาย กลับกลายเป็นผู้พิการเขายังจะอยู่กับเราหรือ แล้วแม่เราจะอยู่อย่างไร คิดได้แบบนั้นก็เลยหักพวงมาลัยออกมา ไปส่งเขากลับบ้านแล้วเราก็นั่งรถโดยสารออกมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลยเกือบ10 ปีแล้ว แต่ด้วยความที่เราอยากจะรู้ว่าคนที่แย่งแฟนเราเป็นใคร ก็เลยออกจากงานที่โรงงานไปสมัครเรียนเสริมสวย อยากจะไปแก้แค้น ตั้งใจจะไปบอกเขา คนที่มาพรากแฟนเราไป เขาอาจจะไม่รู้ว่ามีแฟนอยู่แล้ว และเรารักแฟนมาก คิดว่าถ้าเป็นเกย์เหมือนกัน หากมีโอกาสได้เจอ ได้คุยกันเขาน่าจะเข้าใจเรา พี่ก็ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน นอกจากการมาเป็นช่างเสริมสวยที่กรุงเทพฯ ตอนแรกๆมาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเรามีแต่ความแค้น ความโศกเศร้าในจิตใจ แต่ต้องขอบคุณอาจารย์ สุภัทรา เหล่าวงศ์ศรี ท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ ที่คอยดูแลเอาใจใส่ พาพี่ไปวัด ไปนั่งสมาธิ อาจารย์จะบอกเสมอว่า ถ้าไม่มีสมาธิไม่ลืมความแค้น จะไม่สามารถออกแบบทรงผมให้กับลูกค้าได้ อาจารย์น่ารักมาก และก็อาจารย์ก็พาเราไปออกหน่วยฝึกอาชีพตามชุมชน ตามสลัมต่างๆในกรุงเทพฯ ไปตัดผมให้คนเฒ่า คนแก่ เพื่อฝึกอาชีพ แต่ตอนนั้นบอกตรงๆว่ายังตัดผมไม่เป็นเลย แม้กระทั่งคนปกติมานั่งให้ตัดก็ยังตัดไม่ได้ เพราะมันสั่น กลัวว่าตัดผมแหว่งแล้วเขาจะด่าเราไหม มีอยู่วันหนึ่งเราไปออกหน่วยฝึกอาชีพ แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาที่กลุ่มบอกว่า แม่เขาไม่สบายให้อาจารย์ช่วยส่งลูกศิษย์ไปตัดผมให้แม่หน่อย ในกลุ่มของพี่มีประมาณ20-30 คน ไม่มีใครกล้าไปเลย เพราะว่าทุกคนยังตัดผมไม่เป็น ทุกคนกลัวเพราะยังเป็นเด็กใหม่ พี่เลยบอกว่าไม่มีใครไปใช่ไหม อย่างนั้นเราไปเอง ใช้ความหน้ามั่นของเรา พอไปถึงบ้านของผู้หญิงคนนั้นตกใจมาก เพราะแม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่ป่วยติดเตียงมานานหลายปีเล้วเหมือนเจ้าหญิงนิทรา ถูกมัดแขนสองข้างติดเตียง มีสายยางสอดรูจมูกและขับถ่ายทางสายยาง เราไม่เคยเห็นภาพแบบนี้เราตกใจมาก คิดในใจว่าไม่ใช่ไม่สบายธรรมดาแล้วนะ แล้วจะตัดอย่างไร เพราะคนปกติยังตัดไม่เป็นเลย แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ ไหนๆมาแล้ว ใช้ความเป็นกระเทยสลายความกลัว พูดคุยกับผู้ป่วยบอกเขาว่า คุณยายวันนี้หนูจะตัดผมให้คุณยายให้เลิศเลยนะคะ เอาแบบนางแบบปารีสแฟชันวีคเลยแล้ว เราก็ตัดไป ทั้งที่เราตัดไม่เป็นทรง ด้วยความที่เขาไม่ได้สระผมมานานมาก เป็นแผลกดทับที่หนังศรีษะ มีเลือดและน้ำเหลือง เราก็ตัดด้วยมือเปล่า ไม่ได้เตรียมถุงมือไปเพราะเราไม่รู้ ตัดเสร็จแล้วแม้จะด่างทั้งหัว แต่ก็บอกว่าคุณยายว่าสวยมาก เสร็จแล้วยายก็น้ำตาไหล เราก็ตกใจ ถามลูกเขาว่าเราทำให้ยายเจ็บหรือเปล่า เพราะเราตัดผมไม่เป็นและเป็นครั้งแรกในการตัดผมให้คนพิการ ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่ายายไม่ได้เจ็บ แต่ยายดีใจที่มีคนแปลกหน้ามาตัดผมให้โดยที่ไม่รังเกียจ เราก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย หลังจากนั้นเราก็ถึงบางอ้อว่า การทำความดีมันไม่จำเป็นต้องใช้เงิน หลังจากตัดผมให้คุณยายท่านนั้นเสร็จแล้ว ก็ทำให้เราพบทางสว่างว่า นี่คือการทำความดีอีกรูปแบบหนึ่ง ทีได้ดูแลผู้ป่วย เลยประกาศกับเพื่อนฝูงในกลุ่มใครมีญาติที่เป็นผู้ป่วยพิการ สามารถติดต่อมาได้ เราจะไปตัดผมให้ฟรี ช่วงแรกๆสมัยก่อน ไม่มีโซเชียลจึงนำเสนอตัวเองได้ลำบาก ทุกคนคิดว่าเป็นโจร เป็นมิจฉาชัพ เพราะตัวเราเองก็สักยันต์ แต่ที่เราสักต้องบอกก่อนว่าไม่ได้ติดคุกมานะ บางคนเจอหน้าถามว่า “พี่มาจากแดนไหน” แต่นี่สักโดยครูบาอาจารย์ ตามความเชื่อ ทำให้ช่วงแรกๆลำบาก เพราะเราเป็นคนโนเนม พอเห็นคนพิการเดินไปบอกเขาว่า ถ้าเห็นเราเดินผ่านมาแล้วอยากตัดผมก็ให้บอก เขายังไม่คุยกับเราเลย มองหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ไม่ผิดที่เขาจะคิดอย่างนั้น หลังจากนั้นเราก็ทำมาเรื่อยๆ ไม่สนใจคนที่มองเรา ไม่สนใจ คนที่พูดจาถากถางคนที่ทำให้เราเสียความรู้สึก เมือถึงวันหนึ่งเรามีเทคโนโลยี มีโซเชียล เราก็ใช้โซเชียลของเราให้เกิดประโยชน์ เริ่มประกาศไปว่าถ้าใครอยากให้เราไปตัดผมผู้พิการ หรือมีญาติพี่น้องเสียชีวิตเราแต่งหน้าศพให้ฟรี รวมทั้งแต่งหน้าเจ้าสาวที่พิการด้วย -ทุกวันนี้สัปดาห์หนึ่งไม่ได้ทำงานจิตอาสาเฉพาะแค่วันหยุดเท่านั้นใช่หรือไม่ ดูเหมือนงานจิตอาสาจะกลายเป็นงานหลักไปแล้ว ใช่ทุกวันนี้ กลายเป็นงานหลักไปเลย ไม่ค่อยได้ทำงานแล้ว เพราะว่าผู้ป่วยผู้พิการ เขาเริ่มรู้จักเรามากขึ้น แล้วเขาก็ส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือมากขึ้น จริงแล้วๆ พอเราได้รับทราบข้อมูล ได้เห็นรูป เห็นเรื่องราวของเขา พี่บอกตรงๆว่า พี่ฝืนยืนทำงานต่อไปไม่ไหว อย่างไรก็ต้องเดินทางไปช่วยพวกเขา เพราะว่าเขาน่าสงสาร บางคนพอเราไปถึงเขามานั่งรอเราอยู่หน้าปากซอย ด้วยจิตใจที่ลุ้นว่าเราจะมาหรือยัง พอจอดรถเสร็จเขาร้องไห้เลย บอกว่า วันนี้ถ้าพี่ไมามา หนูคงไม่มีข้าวกิน เป็นเรื่องที่น่าสงสารจริงๆ -เคยเดินทางลงพื้นที่ไปในพื้นที่อันตรายด้วย กลัวหรือไม่ ใช่ค่ะ เคยลงไปถึง3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เลย ถามว่ากลัวไหม ไม่กลัวนะ เพราะมีความรู้สึกว่าคนพิการยังอยู่ในพื้นที่ได้ เราต้องลงไปช่วยเขาได้ และคิดเอยู่เสมอว่า เรามาด้วยความรู้สึกที่ดี ด้วยน้ำใสใจจริง และที่สำคัญคือเรามาทำความดี พี่คิดว่าสิ่งดีๆที่พี่ทำน่าจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้พี่เดินทางไปและกลับอย่างปลอดภัย -ทำเพจนี้มา 8 ปีแล้วมีเป้าหมายอย่างไรในอนาคต เวลาเหมือนผ่านมาเพียงไม่นาน พี่ตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็วางแผน อยากจะเก็บเงินเปิดร้านของตัวเอง เพราะตอนนี้เป็นลูกจ้างเขาอยู่ และอยากจะสอนคนมีรายได้น้อย หรือยากจน เพราะตัวพี่เกิดมาจากครอบครัวที่ยากจน เรามีโอกาสที่ได้มาเรียนรู้จนสามารถเป็นอาชีพสร้างรายได้ เลี้ยงดูครอบครัวและช่วยเหลือสังคม ก็อยากจะเปิดอคาเดมีสอนลูกศิษย์ ที่อยากเรียนเสริมสวยแต่ขาดทุนทรัพย์ เพื่อให้เขาได้มีอาชีพเลี้ยงตัวเอง และครอบครัว และพี่ก็จะปลูกฝังในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม พาเขาลงพื้นที่เป็นจิตอาสา ช่วยเหลือสังคมเหมือนกับที่พี่ทำ เพราะต่อไปในอนาคตพี่ก็ต้องตาย แต่อย่างน้อยก็ยังมีช่างเสริมสวยที่ทำเหมือนพี่ในผืนแผ่นดินไทย -เคยมีไหมเสียงวิจารณ์ที่ทำให้เราท้อ คือตอนแรกคนที่ว่าเรา ไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่เป็นคนใกล้ชิดเราเองที่ว่า เราสร้างภาพ บอกตรงๆ ว่าในอดีตเป็นคนเกเร แต่ ณ วันหนึ่ง เราได้เปลี่ยนพฤติกรรม เรารู้สึกการทำความดี จะทำให้เราชีวิตเราดีขึ้นกว่าการใช้ชีวิตแบบเดิม พูดง่ายๆ เราขอเปลี่ยนเส้นทางในกาดำเนินชีวิต แต่เรากลับมาเจอคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา นอกจากเขาจะไม่ให้กำลังใจแล้ว แต่ยังว่าเราสร้างภาพก็รู้สึกเสียใจ แต่เราก็ทำมาเรื่อยๆ คิดว่าเราช่วยคนอื่นแล้วคนที่เราช่วยเขามีความสุข แล้วเราทำแล้ว เราก็มีความสุข เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มีความสุขก็คือคนที่มัวแต่ตำหนิ มัวแต่ติเตียนคนอื่นอยู่ใช่ไหม เขาถึงได้มาพร่ำพูดอยู่อย่างนั้น แสดงว่าการทำความดีของเรามีอิทธิพลต่อจิตใของเขามาก เลยก้าวผ่าน บอกเลยว่า หากสิ่งที่ฉันทำเป็นการสร้างภาพที่ดี ทำให้สังคมมีความสุข ก็อยากให้สังคมมาช่วยกันทำความดีสร้างภาพ บางทีก็มีมาถามว่า ทำอย่างนี้อยากดังหรือ เราก็บอกเลยว่า ใช่ค่ะ ดิฉันอยากดังมากๆ ฉันอยากดังในระดับซูเปอร์สตาร์ ดังในระดับฮอลลีวู้ดได้ยิ่งดี เพราะว่าถ้าฉันยิ่งดังมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ สังคมรู้ว่า มันมีนางฟ้าสักยนต์ตัวลายคนหนึ่งนะ ที่ออกเดินทางตัดผม ช่วยเหลือคนพิการ แต่งหน้าให้ศพฟรี แต่งหน้าให้กับคนพิการฟรีทั่วประเทศ คนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาจะได้รู้จักฉัน ส่งเรื่องราวของเขามา โอกาสที่ฉันจะได้ทำบุญก็จะมีมากขึ้น นี่คือข้อดี ของความดัง เรายิ่งดังมากเท่าไหร่ เราจะได้ทำบุญมากขึ้น หรือเรายิ่งดังมากเท่าไหร่ คนที่เขาอยากจะทำบุญ แต่เขาไม่มีเวลาที่จะไปทำ เพราะต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานของเขา เขาก็สามารถนำสิ่งของ ที่เขาอยากจะร่วมบุญที่มามอบให้เรา หรือ สามารถส่งให้กับผู้พิการได้เลยโดยตรง นั่นคือความดังของเราทำไห้คนอยากทำบุญ ได้ทำบุญ ซึ่งคนเหล่านี้เขาไม่รู้หรอกว่าจะไปสืบหาผู้พิกาารจากไหน แต่เพราะว่าความดังของเราทำให้คนที่ติดตามเราได้เห็นชีวิตของคนพิการตามซอกหลืบต่างๆของสังคม นี่แหละค่ะเป็นประโยชน์ของความดัง เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ถ้ามีคนถามว่า ทำความดีอยากดังหรือ เราก็จะบอกว่า ใช่ค่ะ อยากดังมากๆ เพราะยิ่งดังเท่าไหร่โอกาสในการทำบุญก็จะมีมากเท่านั้น g> -ช่วยเล่าย้อนความรู้สึกเมื่อได้ทราบข่าวว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่รู้ตัวล่วงหน้าด้วยซ้ำ มีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาจากสำนักนายกรัฐมตรีมาบอกจะเดินทางมาที่บ้านที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เราก็ตกใจ และสอบถามว่าเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าเป็นเรื่องที่ดี และคิดว่าน่าจะได้รับรางวัล จึงถามไปว่ารางวัลอะไร เขาก็บอกว่าจากสถาบันแต่ไม่ได้บอกว่าจากสถาบันไหน หลังจากนั้ประมาณ1-2 สัปดาห์มีคนจากกองกิจการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโทรศัพท์มา เราถามว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม ด้วยความที่เราเป็นคนตัวเล็กๆ และไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เราทำจะผ่านพระเนตรพระกรรณของพระองค์ท่าน เราตื่นเต้นไปหมด สุดท้ายมันเป็นเรื่องจริงที่เราไม่เคยคิด ไม่เคยคาดหวัง ว่าเราจะได้ คือดีใจมาก ขนลุก น้ำตาไหล ไปหมดเลย พยายามตั้งสติโทรบอกพ่อกับแม่ว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไรและจะไปรับแม่ วันแรกเลย คือผู้แทนพระองค์นัดที่จะนำดอกไม้พระราชทานมาให้ที่บ้าน เราก็ตื่นเต้นมากตอนนั้นไปทำงานอยู่ที่ภาคเหนือ ก็ตีรถไปรับแม่ที่จ.นครราชสีมา เพื่อมาหัวหิน ทุกอย่างมันตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก ขับรถมา แม่ก็ตื้นตันจนน้ำตาไหล เพราะเราไม่คิดว่าในประเทศไทย มีประชาชนประมาณ 70 ล้านคน เราจะเป็น 1 ใน 70 ล้านคนที่พระองค์ท่านทรงมองเห็น และทรงรับรู้ในสิ่งที่เราทำ แล้วพระราชทานดอกไม้มาให้ วันที่เราได้รับดอกไม้พระราชทาน วันที่ตำรวจมายืนเต็มถนนในซอยบ้านเราและรถของผู้แทนพระองค์เข้ามา ผู้แทนพระองค์เดินมาคุยกับเรา เราตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกเลย เหมือนกับถูกสตาฟท์เอาไว้ อีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็ได้รับพระราชทาน อุปกรณ์เครื่องมือตัดผม ได้เข้าไปรับที่ศาลาราชประชาสมาคม พระราชวังไกลกังวล เป็นทางการมากขึ้น อยู่ในวังยิ่งตื่นเต้นมากๆ ตัวเย็นไปหมดปลื้มปีติและดีใจมาก ผู้แทนพระองค์ได้อันเชิญพระกระแสรับสั่งว่า พระองค์ท่านทรงทราบและขอชื่นชมจากการทำความดี จนทำให้พระองค์ท่านทรงทอดพระเนตรเห็นจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯโปรดกระหม่อมให้นำเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับตัดผม เพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพและนำไปใช้ตัดผมให้กับผู้พิการ และเสื้อพระราชทานมามอบให้เพื่อเป็นกำลังใจและขอให้รักษาความดีที่ได้ทำไว้ต่อไป -มันยิ่งเป็นกำลังใจในการทำความดีมากยิ่งขึ้นไปอีก บอกได้เลยว่า จากที่ผ่านมาเราอาจจะเคยรู้สึกระแวงกับความไม่เข้าใจของฝ่ายต่างๆ แต่พอเราได้รับดอกไม้พระราชทานแล้ว มันทำให้เรามีความรู้สึกว่า เราไม่กลัวอะไรแล้ว เราจะสู้ให้เต็มที่ ในเรื่องของการทำความดี บอกตรงๆ เลยว่า ปัจจุบัน คนทำความดีมีค่อนข้างเยอะ แต่ทุกคนไม่กล้าที่จะนำความดีที่ตัวเองทำมาเปิดเผย เพราะว่า กลัว ไม่ว่าจะเป็นคนข้างหรือคนที่พบเห็น เราทำความดี มักชอบพูดว่า เราทำความดีเพื่อสร้างภาพ ให้ตัวเองดูดี หรือมีเบื้องหลังผลประโยชน์แอบแฝง ก็เลยทำให้คนเหล่านี้เก็บตัว เลยอยากเป็นกำลังใจให้กับคนทำความดื ไม่ต้องสนใจ คนที่เขาพูดทำให้เราน้อยเนื้อต่ำใจ แต่จงภูมิใจว่า การทำความดีนั้น แม้ว่าจะเป็นการสร้างภาพเต่มันเป็นภาพที่ดี ภาพที่สวยงาม ก็เลยอยากจะเชิญชวนทุกคน มาช่วยกันทำความดีสร้างภาพต่อไป ประเทศเราก็จะดูสวยงาม และก็น่าอยู่มากเลยค่ะ จริงๆนะ อยากจะบอกว่า บางคน ที่เดินไปเจอคุณยายท่านหนึ่งที่น่าสงสารและอยากช่วยเหลือ แล้วให้เงิน ไป100 บาท เก็บความภูมิใจเอาไว้คนเดียว โดยที่ไม่นำเรื่องราวออกมาถ่ายทอด คุณยายก็จะได้เงินแค่ 100 บาทนั่นแหละ แต่ถ้าเรากล้าที่จะเอาเรื่องราวของคุณยายคนนั้นมาถ่ายทอด เขาก็จะได้รับสายธารน้ำใจจากมหาชนที่จะหลั่งไหลเข้าไปช่วยอีกเยอะเลย เพราะฉะนั้นอย่าอายที่จะทำวความดี เพราะถ้าเรากล้าที่จะเปิดเผย บางครั้งการเปิดเผยของเรามันจะสามารถพลิกฟื้นชิวต และช่วยต่อลมหายใจของอีกคนหนึ่งได้ตลอดชีวิต เรื่อง:จินตนา จันทร์ไพบูลย์ /ภาพ :เพจนางฟ้าซาลอน