จากกรณี สำนักงาน ปปง. เข้าร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อเอาผิดกับ นายพานทองแท้ ชินวัตร ในคดีฟอกเงินกรุงไทย โดยเห็นว่าเช็คจำนวน 10,000,000 บาท ที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ สั่งจ่ายให้ นายพานทองแท้ เป็นธุรกรรมการโอนเงินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และเมื่อมีการรับเงินตามเช็คแล้ว นายพานทองแท้ ได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวไปยังบัญชีอื่นของตัวเอง อันเป็นพฤติการณ์การซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของเงินนั้น จึงเข้าข่ายความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ตามมาตรา 5 (1) และ (2) แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และคณะพนักงานสอบสวนมีมติออกหมายเรียก 1.นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2.นายเกศินี จิปิภพ 3.นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และ4.นายวัยชัย หงส์เหิน ให้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหากล่าวฟอกเงิน วันที่ 24 ต.ค.นี้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ต.ค.60 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความของ พานทองแท้ ได้เข้ายื่นหนังสือถึงดีเอสไอ เพื่อขอให้ระงับการแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ที่ทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ดำเนินการ ออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาดคีรับเช็ค 10 ล้านและ 26 ล้าน คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ วันที่ 24 ต.ค.นี้ โดยมี พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีล้ำ รองโฆษกดีเสไอ มารับหนังสือ นายชุมสาย กล่าวว่า คตส.มีมติให้ดำเนินคดีกับ พานทองแท้ เพียงข้อหารับของโจร ไม่มีข้อหาฟอกเงิน ข้อหาอื่นจึงตกไป จึงขอให้ยุติการสอบสวนในประเด็นนี้ และ คสต.อาศัยอำนาจของ ปปง.และ คณะกรรมการธุรกรรมตามคำสั่ง สำนักงาน คปค.ฉบับที่ 30 ข้อ 5 ผลคือไม่มีความผิดฐานฟอกเงินและเห็นว่า ผิดเพียงข้อหารับของโจร ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 147 ให้ยุติการสอบสวนในประเด็นนี้ จึงขอให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ระงับการสอบสวนในคดีที่คำสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องคดีไปแล้ว และขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวน ให้กลับไปเป็น ปปง.เหมือนเดิม เพราะมองว่าการทำงานดีเอสไอไม่เป็นธรรม และเฉพาะเจาะจงแต่นายพานทองแท้ ในการแจ้งข้อหา "สำหรับประเด็นที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ออกหมายเรียก นายพานทองแท้ พร้อมพวกรวม 4 คน ให้มารับทราบข้อกล่าวหาคดีฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือเรียกแต่อย่างใด แต่ยืนยันหากได้รับหนังสือ นายพานทองแท้ จะมาพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง ส่วนจะขอเลื่อนการเข้าพบยังไม่ระบุ ขอให้ได้หนังสือเรียกก่อน" นายชุมสาย กล่าว ขณะที่ พ.ต.ต.วรนันท์ เผยว่า ภายหลังการรับหนังสือว่า จะรีบนำเรื่องส่งมอบให้พนักงานสอบสวนพิจารณาในข้อกฎหมายว่าจะสามารถดำเนนิการอย่างไรต่อไปได้บ้าง ส่วนการเปลี่ยนพนักงานสอบสวนจากดีเอสไอ เป็น ปปง.นั้นไม่สามารถทำได้เนื่องจากคดีนี้เป็นอาญาซึ่งเป็นหน้าที่ของดีเอสไอในการสอบสวน ส่วน ปปง.มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของคดีแพ่งเท่านั้น ด้านพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็ต้องออกหมายเรียกให้ทางผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง และนำหลักฐานมาชี้แจง ตามที่คณะพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกมาพบวันที่ 24 ต.ค.นี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนก็พร้อมตรวจสอบคำร้องและให่ความเป็นธรรมจากทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับจากนายพานทองแท้ว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกหรือไม่ แต่หากวันที่ 24 ตุลาคมนี้ นายพานทองแท้ไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน หรือมีการขอเลื่อน พนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นก่อน และจะพิจารณาไปตามกระบวนการออกหมายเรียกและหมายจับตามความเหมาะสมต่อไป "ทั้งนี้เชื่อว่าพนักงานสอบสวนจะดำเนินการส่งสำนวนต่ออัยการให้ยื่นฟ้องศาลทันในอายุความที่หมดในช่วงปลายปี 2561 อย่างแน่นอน ส่วนที่วันนี้นายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความของนายพานทองแท้ จะเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับดีเอสไอในคดีนั้น โดยได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนรับเรื่อง และตรวจสอบข้อเท็จจริงไปตามกระบวนการ ยืนยันว่าคดีอื่นๆก็ดำเนินการเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่เพียงคดีนี้คดีเดียว" พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว