1 ปีเสด็จสู่สวรรคาลัย การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2559นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจอาลัยรัก อาลัยเทิดทูนของประชาชนคนไทยทั่วประเทศ อย่างยากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ หลายต่อคนในวันนั้นเมื่อถามไถ่พูดคุยพูดกันออกแทบไม่เป็นประโยคด้วยน้ำตานองหน้าเพราะก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ เอาแต่กอดกันหลั่งน้ำตา วันนี้ทุกคนที่ได้พูดคุยถามความรู้ก็ยังจะอยู่ในอากัปกิริยาคล้ายคลึงกัน เอ่ยพระนามในหลวงรัชกาลที่9น้ำตาคลอเบ้าปริ่มจะหยดย้อยลงมาเสียให้ได้ หลายคนน้ำตาไหลพรากย้อยผ่านร่องแก้มโดยไม่รู้ตัว จะพูดคุยคำใดไม่อาจกลั่นออกมาเป็นประโยคดั่งมีก้อนสะอื้นขวางกล่องเสียงไว้ เสียงผ่านลำคอจึงตะกุกตะกักอย่างสัมผัสได้ เรียกก้อนสะอื้นจากผู้สนทนาไปพร้อมกันด้วย แม้วันนี้เสด็จสวรรคตหนึ่งปีแล้ว คนไทยทั้งประเทศก็ยังไม่ส่างความอาลัยรำลึกถึงด้วยความรักความเทิดทูน คนไทยทุกคนน่าจะพูดออกมาจากความรู้ตรงกันว่าพระองค์ทรงเป็นดั่งพ่อและเป็นพ่อที่ทรงงานหนักที่สุดในโลกจะหาพ่อคนใดเสมอเหมือนเพื่อลูกทุกคน เพื่อประเทศชาติเจริญงอกงามตามวิถีแห่งความสุขสงบอย่างยั่งยืน ด้วยเพราะทรงทุ่มเทพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างหนักหน่วงเพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ถึงจะยังอยู่ในภาวะเศร้าโศกอาลัยแต่วันนี้คนไทยได้เปลี่ยนความโทมนัส นั้นกลับกลายเป็นพลังแห่งการทำความดี พลังของจิตอาสาที่ช่วยเหลือกันและกันทั้งประเทศ สามัคคีกันไม่ทะเลาะกัน ไม่แก่งแย่งกันพึ่งพาอาศัย ให้อภัยกันด้วยเมตตารักใคร่กัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ขอถ่ายทอดความรู้สึกบางท่านกับ 1 ปีแห่งการเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ม.ล.ปนัดดา ดิสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศธ.)กล่าวในการบรรยายงานมอบเข็มเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญาไทยรุ่น 8 ประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ถึงการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรว่า “ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ว่า 1 ปีที่แล้ว มีข้าราชการหลายคนขอไปที่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อไปร่วมสวดมนต์กับประชาชนคนไทยที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศทุกภูมิภาคของประเทศที่ภาวนาขอให้พระองค์อยู่กับเรานานแสนนาน แต่พอตกค่ำของวันที่ 13 ตุลาคม 2559 แถลงการณ์สำนักพระราชวังออกมา คนไม่รู้จักกันเลยก็โผเข้านั่งกอดกันร้องไห้ รักกันมากด้วยความอาลัยคิดถึง วันนั้นมีคนเล่าในภายหลังว่าเห็นหมอกลงจัดที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา คนเห็นนึกว่าหน้าหนาวมาเร็ว แต่จริงๆแล้วเมื่อข่าวในหลวงร.9 เสด็จสวรรคตออกมาจึงเชื่อว่าเป็นบรรยากาศถวายอาลัย เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกินนี่ถึงวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 เสด็จสวรรคตมา 1 ปีแล้วจากความอาลัยคิดถึงของคนไทยแปลงมาเป็นความรู้รักสามัคคี รู้คือเข้าใจกันและกัน รักคือเข้าถึงได้ สามัคคีคือการจะร่วมกันทำความเจริญดีงามให้เกิดขึ้นได้” อีกคนเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยนายบรเมศร์ ธีระคำศรี ตำแหน่งท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรีพูดถึงความรู้ว่า “ในวันนั้นพอรู้ข่าวอย่างแน่ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตความรู้สึกมันว้าเหว่อย่างอธิบายไม่ถูก รู้สึกอาลัยมากมาก เป็นการสูญเสียที่ใหญ่โตอะไรอย่างนั้นก็ไม่รู้ แต่ค่อยๆดึงสติกลับมาบอกตัวเองอยู่ตลอดว่า พ่อแม่เราเองก็ต้องตาย ทุกคนทุกสิ่งเกิดมาต้องตาย เราต้องพลัดพรากจากของที่รัก แต่เรายังคงอยู่เราต้องอยู่ให้ได้ พระองค์พระราชทานแนวทางหลักการดำเนินชีวิตไว้ให้เราคนไทยได้ใช้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อความสุขความสงบความเจริญดีงามในครอบครัวในชุมชนและเพื่อชาติบ้านเมือง เราต้องน้อมนำมาเป็นเครื่องยึดเกนี่ยวเดินตามรอยพระยุคลบาท สำคัญที่สุดเราคนไทยอย่าพูดว่ารักพ่ออย่างเดียว ต้องทำดังที่พ่อสอนอย่างจริงจังและตามที่บอกพ่อว่าจะทำดีเป็นคนดีด้วย อย่างเช่นเราใช้รถใช้ถนนที่กทม.ขับรถปาด เฉี่ยว ผิดพลั้งบ้างก็ขอให้สร้างเมตตาให้อภัยกัน ไม่ใช่เกิดอารมณ์ถึงทำร้ายกันด้วยความโกรธ แบบนี้บอกว่ารักพ่อไม่ได้ เพราะไม่สืบสานพระราชปณิธานไม่เอาคำที่พ่อสอนมาเตือนใจมาปฏิบัติตาม รักพ่อก็ต้องรักต้องสามัคคี พึ่งพากัน” นายเสถียร โพธิรัตน์ครูเชี่ยวชาญวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ถ่ายทอดความรู้สึกว่า “ข่าวเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทำให้ผมใจแทบขาด จะสิ้นใจตามพระองค์ท่านไปเสียให้ได้ เพราะเรารู้สึกเทิดทูนพระองค์องค์จริงๆว่าคือพ่อของเรา ยิ่งเคยรับเสด็จครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินมาที่วิทยาลัยเทคนิค ก็รับเสด็จใกล้ๆที่ทรงขับรถยนต์ด้วยพระองค์เองมาจอดได้มีโอกาสทำงานถวายตามสายงาน ได้ซาบซึ้งในพระราชดำรัสที่พระราชทานให้ด้วยพระราชหฤทัยเมตตาและที่ทรงห่วงใย วันนี้เสด็จสวรรคตมาเป็นเวลา 1 ปีพระองค์ก็ยังคงสถิตย์อยู่ในใจของพวกเราชาววิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่และทรงอยู่ในใจผมตลอดพระองค์ไม่ได้ห่างผมไปไหนเลย” นางสุนันทา พลโภชน์ หัวหน้างานประชาสัมพันธ์สอศ.บอกความรู้สึกว่า “วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ช่วงที่รู้ข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต ทั้งที่ก็ทำใจรับรู้ไว้แล้วนั่นแหละแต่เมื่อถึงเวลาจริงเข้า รู้สึกได้เลยว่าเราขาดที่พึ่งทำให้ขาดความมั่นใจ เพราะตลอดชีวิตเราอยู่ภายใต้พระบารมีพระบรมโพธิสมภารในการดำเนินชีวิตที่มีความรู้สึกทั้งปลอดภัย มีความสุข แม้จะรู้ว่าคนเราเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องพลักพรากจากของที่เป็นที่รัก ก็ตามแต่ก็รู้สึกจริงๆว่าขาดความมั่นใจในการที่ก้าวไปข้างหน้าต่อไปพอสมควรทีเดียว” นายพิชิต ชูมณี ประธานศูนย์เรียนชีววิถีเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ บ้านเกาะไทร ตำบลปะกาศัย อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่บอกความรู้สึกว่า “วันนี้ไม่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้วผมมีความรู้สึกว่าเสียพ่อไป คิดถึงพระองค์ท่านมาก ที่ผ่านมาทำตามที่พระองค์ทรงแนะแนวทางดำเนินชีวิตมาตลอด น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯมาเป็นเครื่องมือดำเนินชีวิต เมื่อไม่มีพ่อแล้วก็ยิ่งทำตามที่พ่อสอนไว้ยิ่งขึ้น แม้ว่าพระกายพ่อจะหายไปจากชีวิตเราแต่พระองค์ยังคงสถิตย์อยู่ในหัวใจผมและคนไทยทุกคน เราต้องเดินต่อ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติ เราสูญเสียสิ่งที่รักไป ก็จะขอเป็นกำลังเล็กๆส่วนหนึ่งสืบสานพระราชปณิธานให้คงอยู่แล้วขยายผลต่อไป” นายมานะ โพธิ์ทอง หัวหน้ากองพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมกฟผ.พูดถึงความรู้สึกว่า “ประเทศไทยประชาชนคนไทยตกอยู่ในภาวะโศกเศร้าด้วยสูญเสียของที่รักครั้งยิ่งใหญ่คือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันนี้ครบหนึ่งปีความอาลัยด้วยรำลึกถึงพระองค์ท่านก็ไม่จางไปจากความรู้ ส่วนตัวรู้ว่าขาดผู้นำทาง ผู้ชี้แนะในภาวะวิกฤติของประเทศ ที่ผ่านมานับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติตราบเสด็จสวรรคตเป็นเวลายาวนาน 70 ปีทรงแก้ปัญหาให้กับประเทศประชาชนอยู่รอดมาตราบวันนี้ ตอนนี้ขาดพระองค์ท่านไป คนไทยก็ต้องสามัคคีกันเดินตามรอยพระยุคลบาทที่ทรงเป็นแบบอย่าง น้อมนำพระราชปณิธานมาสืบสานเพื่อความสุขสงบด้วยวิถีแห่งความพอเพียงพออยู่พอกิน อย่าทะเลาะกัน ช่วยกันดูแลประเทศไทยของเราให้อยู่รอดเจริญงอกงามตามวิถีดีงามด้วยความรักความเมตตาต่อกัน”