เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.64 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการอำนวยการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่า คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร ได้กำหนดแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจะมุ่งที่การพัฒนาสมรรถนะของเด็กไทยใน 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการตนเอง การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การคิดขั้นสูง การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง โดยจะจัดทำเป็นกรอบหลักสูตร (Framework) เปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถนำไปจัดทำเป็นหลักสูตรสถานศึกษา ที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ได้ แต่จะมีจุดร่วมกันในการสร้างสมรรถนะ ซึ่งโรงเรียนต้องมีการปรับวิธีการเรียนการสอนใหม่ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน ได้คิด ตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ไม่ใช่กระบวนการสอนทางเดียวแบบเดิม อย่างเช่น การเรียนรู้ความเป็นพลเมืองที่ดี นักเรียนจะต้องเรียนรู้จากสถานการณ์จริง โดยเรียนรู้จากกิจกรรมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนของตนเอง ไม่ใช่การเรียนรู้จากตำราแบบเดิมที่เด็กจะไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง หรือตัวอย่างการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ นักเรียนจะไม่เพียงเรียนรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไร เมื่อใด แต่ต้องมีกระบวนการในการคิด วิเคราะห์ และร่วมอภิปราย เพื่อให้สามารถเข้าใจเหตุผล เรียนรู้บทเรียนที่เกิดขึ้นในอดีต และนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม รมว.ศธ.กล่าวว่าในส่วนที่กังวลว่า หลักสูตรใหม่จะขาดความเข้มข้นในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียน อยากทำความเข้าใจว่า ความรู้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เกิดสมรรถนะ แต่กระบวนการเรียนรู้จะไม่ได้เริ่มจากการให้ความรู้ก่อน แต่จะเริ่มจากกระบวนการคิด ตั้งคำถาม และกระตุ้นความสนใจของนักเรียนก่อน เมื่อนักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้แล้ว เขาก็จะค้นหาความรู้และคำตอบได้ด้วยตัวเอง ซึ่งกระบวนเหล่านี้จะทำให้เด็กมีการพัฒนาอย่างแท้จริง สำหรับการปรับหลักสูตรครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าครูต้องมีการปรับวิธีการเรียนการสอนครั้งใหญ่ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมการรองรับในการพัฒนาครู ให้พร้อมกับหลักสูตรใหม่นี้ โดยจะเน้นการพัฒนาทั้งระบบโรงเรียน (School Base Development) โดยครูจะได้เรียนรู้และพัฒนาจากห้องเรียนจริง จะไม่ใช่การนำครูมาอบรมนอกห้องเรียนแบบเดิม ๆ และผู้อำนวยการโรงเรียนจะทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านวิชาการของโรงเรียน ในการพัฒนาการเรียนการสอนทั้งระบบ นอกจากนี้ จะได้นำโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนที่ดี มาเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ และจัดระบบสนับสนุนด้านวิชาการจากทีมวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการ และมหาวิทยาลัยในแต่ละพื้นที่ ที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนให้ดียิ่งขึ้น ในปีการศึกษานี้ กระทรวงศึกษาธิการจะจัดให้มีการวิจัยและทดลองใช้หลักสูตรแบบใหม่ในโรงเรียนนำร่อง ซึ่งอยู่ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จำนวน 286 แห่ง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ จะนำเข้าสู่คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร เพื่อพัฒนาหลักสูตรให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะมีการประกาศใช้จริงในปี พ.ศ.2565