25 ก.ย.59 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ อ.มีชัย ฤชุพันธ์ ได้กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นการเปิดช่องให้มีการอุทธรณ์ได้อีกครั้ง คดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องเรียนว่าเราเห็นใจคณะกรรมการร่างว่าได้ทำงานหนัก แต่ควรเป็นผู้ใหม่ที่เปิดใจกว้าง เพื่อรับฟังคำท้วงติงต่างๆ ด้วยเหตุผล เราไม่ได้มีการชี้นำ หรือพูดโกหก บิดเบือนแต่อย่างใด แต่ได้พูดอยู่บนพื้นฐานของสาระ ด้วยเหตุและผลในร่างรธน. การที่บอกว่าการเชื่อนักการเมือง จะเป็นอันตรายได้นั้น ทาง กรธ. ก็ต้องแยกแยะ เพราะนักการเมืองก็มีที่เชื่อได้ และเชื่อไม่ได้ มีทั้งทำลายประเทศ และสร้างสรรค์ประเทศ เช่นเดียวกับข้าราชการ และคนในวงการอื่น ๆ ที่มีเชื่อได้ และเชื่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านไม่ควรเหมารวมว่าสิ่งที่นักการเมืองพูดแล้วเป็นสิ่งที่เชื่อไม่ได้เท่านั้น แต่ควรดูที่เนื้อหาสาระน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า กรธ.ควรเปิดใจกว้างรับฟังข้อโต้แย้งมากกว่าที่จะตีขลุม ด่ากราด เพียงเพราะไม่ถูกใจที่มีคนที่รู้จริงออกมาจี้ใจดำ ประเด็นเรื่องการให้สิทธิ์อุทธรณ์อีกชั้นหนึ่งได้โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่โดยอ้างว่าให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนนั้น เห็นว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะปกติแล้ว รธน.ปี 50 ก็ได้กำหนดให้มีการอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้อยู่แล้ว แต่ฉบับของ อ.มีชัย เอื้อประโยชน์ให้กับจำเลยที่ถูกดำเนินคดีในศาลฑีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างชัดเจน เพราะ 1. สามารถยื่นอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่ 2. สามารถต่อสู้คดีได้ในอีกองค์คณะหนึ่งทั้งตั้งขึ้นมาใหม่ 3. หากศาลฎีกาตัดสินครั้งแรกแล้ว จำเลยมีโทษจำคุกก็จะมีปัญหาในเรื่องการประกันตัว เพราะจำเลยอาจจะอุทธรณ์แล้วหาช่องทางกลบหนีก็ได้ 4. การพิจารณาของศาลฎีกาชั้นเดียวกัน องค์คณะก็มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน แล้วหากคำพิพากษาที่ขัดแย้งกัน แล้วจะฟังองค์คณะชุดใด นี่คือเหตุผลที่เราได้ท่วงติงด้วยหลักเหตุและผล ว่าจะเป็นประเด็นปัญหาที่จะทำให้การปราบปรามทุจริตอ่อนแอลง ได้เด็ดจาดเหมือนที่ผ่านมา ที่กล่าวว่าอย่านึกว่าคนที่เราไม่ชอบจะเป็นพวกเดียวที่ไปสู่ศาลได้ วันดีคืนดี คนที่เราชอบ ก็อาจจะไปที่ศาลนั้นได้เหมือนกัน ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า คุณอภิสิทธิ์ พูดไม่ใช่เรื่องจองตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของหลักการ ตามหลักสากลก็ได้เปิดโอกาสให้เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมายของแต่ละประเทศด้วย ข้อเห็นแย้งของคุณอภิสิทธิ์ก็ชี้ให้เห็นว่าไท้จำเป็นว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ เพราะหากพวกเรากระทำความผิด ก็ไม่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน ถ้า กรธ.บัญญัติเรื่องคดีที่พิจารณาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเหมือน รธน.ปี 2550 น่าจะถือให้เกิดความเด็ดขาดหลาบกับนักการเมืองทุจริตมากกว่า แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้การปราบปรามเอาผิดกับผู้ทุจริตอ่อนแอลง จึงเป็นความจำเป็นที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องออกมาแสดงให้เห็นเพื่อประโยชน์ของส่วนร่วม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของนักการเมืองแต่อย่างใด