ฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นรถกระบะที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกทั้งด้านสมรรถนะและความแกร่งที่ลูกค้าต่างเลือกให้เป็นเพื่อนคู่ใจเพื่อการทำงานและเป็นรถสำหรับครอบครัวตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อเสริมความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อฟอร์ด เรนเจอร์ ทีมพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ของฟอร์ดจึงให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นจากเจ้าของรถและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อถึงเวลาของการเปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ ฟอร์ดจึงพร้อมมอบสมรรถนะที่เหนือระดับไปอีกขั้น เพื่อการใช้งานแบบอเนกประสงค์ ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมทั้งบนถนนและแบบออฟโรด ไปจนถึงตัวเลือกเครื่องยนต์ที่มอบทั้งความทนทาน และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ลูกค้า มร.เกรแฮม เพียร์สัน ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ เปิดเผยว่า เป้าหมายของเราในการสร้างสรรค์ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ คือการส่งมอบรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกว่า 180 ตลาดทั่วโลก เพื่อเป็นรถกระบะที่คนทั่วโลกให้ความไว้วางใจว่าจะพร้อมลุยได้ในทุกสถานการณ์ การจะเป็นรถที่ลูกค้าทั่วโลกไว้วางใจได้นั้น เราต้องเติมความเหนือชั้นให้ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ แบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่บึกบึน เสถียรภาพในการขับขี่ สมรรถนะเพื่อการเดินทางออฟโรด ขุมพลัง และประสบการณ์ขับขี่ในภาพรวม “ฟอร์ดมีความเชี่ยวชาญในรถกระบะ” เราต้องการมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในด้านสมรรถนะและประสิทธิภาพในการขับขี่ เพิ่มความไว้วางใจให้ฟอร์ดเป็นตัวเลือกของรถเพื่อการทำงาน และยังเป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด ด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวมากขึ้น เทคโนโลยีที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น และความสะดวกสบายที่เหนือชั้น ระบบส่งกำลังที่ตอบโจทย์การทำงาน การเป็นรถครอบครัว และการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน ปรีติกา มหาราช ผู้จัดการโครงการฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ กล่าวเสริมอีกด้วยว่า ไม่ว่าลูกค้าจะมองหารถที่ประหยัดน้ำมัน ให้ความสะดวกสบาย หรือใช้เพื่อบรรทุกสัมภาระ เราเชื่อว่าเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังในรถฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ จะพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรอบด้าน ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียงที่ทรงประสิทธิภาพ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว มาพร้อมตัวเลือก 2 แบบ คือ รุ่นที่ให้พละกำลัง 150 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาทีและแรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที และรุ่นที่ให้กำลัง 170 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาทีและแรงบิด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตรของฟอร์ด มอบพละกำลัง 210 PS ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์นี้ยังมีอยู่ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจนเนอเรชั่นใหม่เช่นเดียวกัน เครื่องยนต์ดังกล่าวมีระบบบายพาสที่ชาญฉลาด สามารถปรับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อมอบประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน กล่าวคือ เทอร์โบชาร์จ 2 ตัวจะทำงานร่วมกันที่รอบต่ำเพื่อเพิ่มกำลังแรงบิดและการตอบสนอง หรือปรับทำงานโดยไม่ผ่านเทอร์โบขนาดเล็ก เพื่อให้เทอร์โบขนาดใหญ่ส่งกำลังได้เต็มที่เมื่อต้องการ “เรารู้ดีว่าลูกค้าจะใช้งานฟอร์ด เรนเจอร์ แบบสุดกำลังความสามารถของรถ เราจึงทดสอบรถด้วยวิธีเดียวกัน” เราเริ่มจากการนำรถไปทดสอบหลายแบบบนเครื่องไดนาโมมิเตอร์ ทั้งการบรรทุกน้ำหนักสูงสุด ความทนทานต่ออุณหภูมิ ไปจนถึงการใช้งานเครื่องยนต์อย่างเต็มพิกัด จากนั้นเราจึงนำรถไปทดสอบในประเทศที่มีอากาศหนาวจัดอย่างยุโรปและนิวซีแลนด์ รวมถึงในเขตร้อนชื้นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราได้จำลองการใช้งานขั้นสุดของลูกค้าโดยติดเครื่องยนต์และเร่งความเร็วสูงสุดไว้นานกว่า 700 ชั่วโมงต่อเนื่อง เทียบได้กับการเหยียบคันเร่งจนมิดวิ่งวนรอบโลก 6 รอบ และเรายังทดสอบในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิตั้งแต่ -40 ไปจนถึง 50 องศาเซลเซียส ระบบเกียร์ในฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ มาพร้อมตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบเดียวกับที่ใช้ในฟอร์ด F-150 และฟอร์ด F-150 แร็พเตอร์ ซึ่งได้รับการทดสอบมามากกว่า 6 ล้านกิโลเมตร และยังใช้การแข่งออฟโรดระยะทางกว่า 3,900 กิโลเมตร ซึ่งในการทดสอบนั้นยังรวมถึงการแข่งขัน Baja 1000 ด้วย โดยระบบเกียร์ดังกล่าวนี้มีในรถฟอร์ดที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร ทั้งในเรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ นอกเหนือจากเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งมีอยู่ในเรนเจอร์รุ่นปัจจุบัน ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ยังมาพร้อมตัวเลือกใหม่ ได้แก่ เกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่จับคู่กับเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบเดี่ยว พร้อมลุยทุกเส้นทางสมบุกสมบัน ลูกค้าบอกกับเราว่าหนึ่งในเหตุผลที่ชอบฟอร์ด เรนเจอร์ คือการเป็นหนึ่งในรถกระบะที่นั่งสบายและมีสมรรถนะในการขับขี่ไม่แพ้รถเก๋ง การรักษาข้อดีนั้นไว้ และเสริมด้วยสมรรถนะในการขับขี่แบบออฟโรดจึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ฐานล้อที่กว้างและยาวขึ้นของฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ทั้งบนทางเรียบและออฟโรด ด้วยมุมเงย 30 องศา (เพิ่มจาก 28.5 องศาในรุ่นก่อนหน้า) และมุมจากด้านหลัง 23 องศา (เพิ่มจาก 21 องศาในรุ่นก่อนหน้า) นอกจากฐานล้อกว้างขึ้นที่ช่วยให้นักออกแบบเพิ่มความกว้างของกระบะท้ายให้ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ บรรทุกของได้มากขึ้นและปรับรูปแบบการใช้งานได้หลากหลายยิ่งขึ้น โช้คหลังยังขยับมานอกเพลาเพื่อให้ควบคุมรถได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะมีสัมภาระหรือไม่ก็ตาม ตำแหน่งของโช้คที่อยู่ด้านนอกเพลาทำให้การควบคุมรถทำได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะขนสิ่งของหนักหรือไม่ และยังช่วยลดปัญหาเรื่องการกระเด้งของรถกระบะทั่วไปที่มีโช้คด้านในเพลาเมื่อไม่ได้บรรทุกของ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพื้นฐานซึ่งเป็น “ระบบชั่วคราว” โดยมีทรานสเฟอร์เคสควบคุมด้วยไฟฟ้าทำงานแบบ 2 จังหวะและมี Shift-on-the-fly มาพร้อมโหมดการขับขี่แบบ 2H, 4H และ 4L เพื่อส่งกำลังอย่างต่อเนื่องสู่เพลาหน้าและหลังเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่บนทุกสภาพถนน ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ยังคงใช้เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ที่สามารถเปิดใช้งานได้ผ่านหน้าจอระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A โดยเฟืองท้ายจะทำให้ล้อบนเพลาเดียวกันหมุนที่ความเร็วเท่ากัน เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนขณะขับขี่ออฟโรด โหมดการขับขี่ที่หลากหลายเพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง ก่อนหน้านี้ โหมดการขับขี่จะมาพร้อมกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เท่านั้น แต่ตอนนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ก็มาพร้อมฟีเจอร์นี้แล้วเช่นกัน โดยเรนเจอร์เฉพาะรุ่นจะมีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ โหมดประหยัด โหมดลากจูงและบรรทุก (เฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น) โหมดถนนลื่นสำหรับการขับขี่ทางเรียบ และโหมดโคลน และโหมดทรายสำหรับการขับขี่บนเส้นทางออฟโรด โหมดการขับขี่แต่ละโหมดจะปรับการทำงานระบบทั้งหมดให้เหมาะสม ตั้งแต่การเปลี่ยนเกียร์ไปถึงการตอบสนองของคันเร่ง ระบบควบคุมการทรงตัวและการยึดเกาะ ระบบเบรกอัตโนมัติ (ABS) และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โหมดการขับขี่เป็นตัวช่วยที่ใช้งานง่ายมาก และทำให้รถส่งแรงไปยังล้อรถได้อย่างเหมาะสมตามสภาพถนน โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ นอกจากโหมดการขับขี่ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ยังมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะบนระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC 4A เพียงปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งจะแสดงผลการตั้งค่าระบบส่งกำลังและระบบดิฟล็อก องศาการบังคับควบคุมพวงมาลัย มุมการเอียงของรถ ไปจนถึงกล้องหน้าที่มาพร้อมเส้นกะระยะ ในห้องเครื่องยังมีพื้นที่ให้ติดตั้งแบตเตอรี่สำรองอีกลูก เพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์การตั้งแคมป์และอุปกรณ์อื่นๆ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ มาพร้อมตัวเลือกอุปกรณ์เสริมแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถทำจากเหล็กตัดด้วยเลเซอร์ เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายต่อระบบบังคับเลี้ยว อ่างน้ำมันเครื่อง การเปลี่ยนเกียร์และระบบเกียร์ โดยแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถมีการติดตั้งเข้ากับโครงรถ ส่งมอบความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ และยังถอดง่ายสะดวกต่อการซ่อมบำรุง ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ พร้อมลุยทุกการผจญภัยด้วยหลังคาที่สามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 350 กิโลกรัมขณะรถจอดอยู่กับที่ และรับน้ำหนักได้มากถึง 85 กิโลกรัมขณะรถเคลื่อนที่ และการบรรทุกสัมภาระหลากหลายรูปแบบในบริเวณกระบะท้าย ทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ เป็นรถที่อเนกประสงค์กว่าเคย ตั้งแต่ห่วงยึดสัมภาระบนท้ายกระบะและขอบกระบะ จุดยึดอุปกรณ์ช่างบนฝาท้าย และจุดยึด 6 จุด สำหรับติดตั้งและใช้งานอุปกรณ์เสริมบริเวณท้ายกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ยังลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร ที่ความเร็ว 7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เช่นเดียวกับเรนเจอร์รุ่นปัจจุบัน ลูกค้าของเราหลายคนชอบขับเรนเจอร์ลุยน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ลำธาร และแหล่งน้ำอื่นๆ เราจึงทดสอบเรนเจอร์ด้วยการขับลุยน้ำในความเร็วที่ต่างกันในความลึกสูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร นอกจากการทดสอบทางกายภาพ ทีมวิศวกรยังใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยงานด้านวิศวกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าการทำงานด้านพลศาสตร์ของรถยนต์เมื่ออยู่ในน้ำจะดีเทียบเท่ากับเมื่ออยู่บนทางเรียบ ให้แน่ใจว่าน้ำจะไม่เข้าไปในบางจุด และระบบหลักยังทำงานได้หลังขึ้นจากน้ำ เช่น ไฟส่องสว่างและแตร เรายังทดสอบการลุยน้ำขณะใช้เกียร์ถอยหลังอีกด้วย เพราะนี่เป็นสิ่งที่ลูกค้าจะทำในการใช้งานจริง ทดสอบเพื่อพิชิตทุกความหฤโหด ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ผ่านการทดสอบมาแล้วกว่าหลายล้านกิโลเมตรใน 10 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่ารถคันนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการ แต่ยังมอบสิ่งที่เหนือความคาดหวังของลูกค้า ทั้งด้านสมรรถนะ คุณภาพ ความไว้วางใจได้ และความทนทาน รถต้นแบบฟอร์ด เรนเจอร์ ผ่านการทดสอบ ณ สนามทดสอบรถยนต์ ยู ยางส์ ของฟอร์ด ใกล้เมืองเมลเบิร์น เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร ขณะเดียวกัน ชิ้นส่วนหลักๆ เช่น ช่วงล่าง ตัวถัง และเครื่องยนต์ ก็ต้องผ่านการทดสอบแบบไม่มีพัก ภายในห้องทดสอบที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ก่อนที่จะมีการทดสอบรถทั้งคันจริงๆ ฟอร์ดยังใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยจำลองสถานการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นส่วนและระบบหลักๆ ของรถทำงานร่วมกันได้ดี เพื่อลดเสียงรบกวนจากการทำงานของชิ้นส่วนหรือเสียงจากลมที่อาจเข้ามาในห้องโดยสาร ในช่วงแรกของการพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ เราใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มากมายช่วยในการวิเคราะห์ หลังจากนั้น เราจึงสร้างรถต้นแบบขึ้นมามากถึง 200 คัน เพื่อใช้ทดสอบด่านสุดหฤโหด ตั้งแต่ทะเลทรายฝุ่นคลุ้งสุดท้าทายที่ออสเตรเลียและตะวันออกกลาง บนถนนและทางด่วนท่ามกลางอากาศร้อนชื้นในประเทศไทย ไปจนถึงอุณหภูมิติดลบในยุโรปและอเมริกาเหนือ การจำลองสภาวะการทดสอบให้เหมือนจริงที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าเรนเจอร์พบได้ในชีวิตจริง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าฟอร์ด เรนเจอร์ พร้อมลุยได้ในทุกสถานการณ์หลังออกจากโชว์รูม ไม่ว่าจะบนทางเรียบหรือเส้นทางออฟโรด ซึ่งรวมถึงความชื้นจัดในไทย อากาศหนาวเย็นที่นิวซีแลนด์ และอุณหภูมิร้อนถึง 50 องศา ที่ลูกค้าอาจเจอในแถบตะวันออกกลาง นอกจากการทดสอบรถทั้งคันในสภาพแวดล้อมจริงแล้ว ฟอร์ดยังทดสอบส่วนประกอบเฉพาะชิ้นด้วย ตั้งแต่ระบบกันสั่นสะเทือน ชุดลาก โครงรถ ประตู ฝาท้าย แผงตัวถัง กันชน เบาะที่นั่ง และชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ลูกค้าจับ สัมผัส หรือกระแทก โดยจะทดสอบจนกว่าชิ้นส่วนจะถึงจุดแตกสลายในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม เพื่อค้นหาจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้น เป้าหมายในการทดสอบส่วนประกอบก็เพื่อให้มั่นใจว่าส่วนประกอบเหล่านั้นจะทำงานได้อย่างปลอดภัย ให้ลูกค้าวางใจได้ตลอดการใช้งาน เรารู้ว่าลูกค้าฟอร์ดต้องการใช้งานเรนเจอร์เพื่อลุยเต็มพิกัดในทุกเส้นทาง ทุกสภาวะ เราจึงต้องแน่ใจว่ารถคู่ใจคันนี้จะมอบความปลอดภัย ไร้กังวล และห้องโดยสารที่เงียบสงบให้แก่ผู้ขับขี่