มองดูว่าโลกเจริญแต่วันนี้เราต่างรู้ดีว่าความเจริญส่งผลกระทบทางลบแก่คนบนโลกนี้ไม่เว้นแม้แต่ประเทศเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจที่กระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ไทย แต่โชคดีที่ปู่ย่า ตายาย เราปลูกฝั่งการดำเนินชีวิตที่พออยู่พอกินไป ไม่ประมาทที่มาสอดรับ แนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้คนไทยใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตโดยองค์ความรู้ผ่านโครงการอันเนืองมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ที่ทรงตรากตรำพระวรกายศึกษา ค้นคว้าทดลองก็เพื่อให้ประชาชนของพระองค์ได้น้อมนำไปใช้เพื่อการดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ การมีอาชีพเลี้ยงตนเองพึ่งพาตนเองยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งตนเอง ให้มีความสุข พระองค์พระราชทานพระราชดำรัส “เน้นย้ำ” เรื่องความพอมี พอกิน พอใช้แก่ให้คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันที่ 4 ธันวาคม 2517 ความตอนหนึ่งว่า … “…คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่ พอมี พอกิน และขอให้ทุกคน มีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่ พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่ จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศ อื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้…” ความพอเพียงตามแนวพระราชดำริ เป็นสิ่งสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ที่สร้างความเข้มแข็งให้ชาติบ้านเมืองเพราะคนไทยรวมหัวใจน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนำมาปรับใช้ต่อวิถีชีวิตได้อย่างจริงจังนำพาชีวิตมั่นคงและยั่งยืน ทางมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB ได้ร่วมจัดกิจกรรมพิเศษเฉลิมฉลองปีมหามงคล 2559 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี โดยเชิญสื่อมวลชนศึกษาดูงานโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำเรื่องราวไปเผยแพร่สู่ประชาชนทั่วประเทศได้ตระหนักรับรู้เพื่อศึกษาเรียนรู้ถึงการทรงงานของพระองค์ที่ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายตลอดระยะเวลา 70 ปี ก็เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยมีอาชีพความเป็นอยู่ที่ดีเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างพอมีพอกินและมีความสุขอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ทางมูลนิธิปิดทองหลังพระ ร่วมกับ TCEB ได้นำคณะสื่อมวลชนไปเยี่ยมชมคือที่ สวนลุงนิล ต.ช่องไม้แก้ว อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ จังหวัดชุมพร จากนั้นไปที่ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชา ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ ณ บางเบิด ต.ปากคลอง อ.ปะทิว และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ธนาคารปูม้าเกาะเตียบ ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 16-17 กันยายนที่ผ่านมา วันแรกของการเดินทางวันที่ 16 กันยายน 2559 มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ พร้อมทั้งสื่อมวลชน เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 6 ต.ช่องไม้แก้ว อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ของนายสมบูรณ์ ศรีสมบัติ (ลุงนิล) เกษตรกรวัย 66 ปี หรือสวนลุงนิลเป็นหนึ่งใน 25 ปราชญ์เกษตรเศรษฐกิจพอเพียงที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมคัดเลือกว่าเป็นผู้ที่ได้นำแนวทางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำมาปฏิบัติกับตนเองทำให้พลิกฟื้นครอบครัวที่เคยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปีพ.ศ.2540 จนเป็นหนี้สินมากมายจากการทำธุรกิจได้หลุดพ้นจากหนี้สินหมดได้ ลุงนิล ให้ข้อมูลว่า เมื่อก่อนที่บ้าน พ่อมีอาชีพทำไร่ทำสวน เป็นครอบครัวใหญ่อยู่กัน 11 คน เคยมีความฝันว่าอยากเป็นครูเหมือนลุง แต่ที่บ้านไม่มีเงินพอส่งให้เรียนเพราะต้องนำเงินมารักษาพ่อ ก็ลาออกมาทำสวนกับพ่อประมาณ 1 ปี แล้วมาหางานทำที่กรุงเทพฯเปิดร้านขายของชำและเป็นช่างตัดเย็บผ้าอยู่หลายปี แต่ต้องเลิกกิจการไปเพราะรายได้เริ่มน้อยลงเมื่อมีคู่แข่งเปิดเป็นโรงงานที่มีทุนการผลิตที่ดีกว่า จากนั้นมาเรียนทำอาหารจีนจนจบหลักสูตร และเป็นกุ๊กอยู่ภัตตาคารอาหาร ได้เงินเดือน ประมาณ 9,800 บาท ถือว่ามากอยู่สมัยนั้นก็ซื้อทองได้หลายบาท ลุงนิล กล่าวต่อว่า ด้วยคำสอนของพ่อตอนที่กลับบ้านมาเยี่ยมท่าน ๆ ได้พูดว่า “งานในโลกนี้มีเพียง 2 อย่างที่ให้เราทำ คือ งานของเขา แล้วก็งานของเรา ลูกทำงานเขาพ่อไม่ว่าหลอกลูกเอย แต่เก็บเงินตรงนั้นที่ได้มานำมาทำงานของเราด้วยได้ไหมลูก ลูกจะทำงานของเขาอย่างเดียวลูกก็จะได้เพียงแค่รับเงินเป็นรายเดือนไป ลองไปหางานที่ทำแล้วสิ้นเดือนได้เงินเดือนสองเดือนเลยมีหรือเปล่าลูก ถ้าเจ้านายรักเราก็ได้เงินเพิ่มตอนสิ้นปีเท่านั้น ตอนนั้นคิดแล้วคิดอีกต้องยอมจำนนกับคำสอนของพ่อ กลับมาอยู่บ้าน เปิดร้านอาหารบริเวณหน้าหอพักของมหาวิทยาเกษตรฯ กิจการขายดีมากๆ แต่ก็ต้องหยุดกิจการไปเพราะมีปัญหากับคู่แข่งทางธุรกิจ ช่วงนั้นลำบากมากด้วยเพราะเกิดอุบัติเหตุกับตนเองเดินไม่ได้รักษาตัวอยู่ปีกว่า และมาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดอยู่ที่อำเภอหัวหิน กิจการดีขึ้นเรื่อยๆ มีสาขาทั้งหมด 9 สาขา และสาขาที่ 9 ที่ทำให้ตัวของผมได้มายืนอยู่สวนแห่งนี้ ได้ขายกิจการนำเงินมาลงทุนซื้อต้นทุเรียนมาปลูกเห็นว่าต้องได้กำไรอย่างแน่นอน ซื้อมาทั้งหมด 700 ต้น ถ้านำมาปลูกเข้าปีที่ 9 แล้วขายต้นละหมื่นกว่าจะได้ผลผลิตทำตรงนี้รวยแน่ ก็นำเงินลงทุนครั้งแรกนำมาขุดสระน้ำก่อน ฟังเขามาว่าที่ต้องมีระบบน้ำด้วยถึงจะดี จ้างคนงานมาปรับพื้นที่จนเรียบเตียน หมดเงินลงทุนทั้งหมด ยอมรับว่าเหนื่อยมาก ต้องดูแลทุกอย่าง ทำเองทุกอย่าง สู้และอดทนสุดๆ จนได้ผลผลิตออกมาคุ้มค่าความเหนื่อย พอมาปีที่ 7 ตัดสินใจทำสัญญาคนซื้อ 2 ปีให้เหมาสวนรายได้ดีในช่วงนั้นแต่พอเข้าปีที่ 3 ทุเรียนเกิดเสียหายขาดทุนต้องกู้หนี้นอกระบบและธกส. มาลงทุน เจ้าหนี้มาตามทวงเงินถึงที่บ้าน ตอนนั้นจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาหนี้สินที่มีมากมาย แต่ลูกชายเดินเข้ามาหาทำให้รู้สึกตัวได้ว่าต้องมีหนทางที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และวันนั้นช่วงเย็นได้เปิดโทรทัศน์ดูตรงวันที่ 4 ธันวาคม 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ได้ฟังจนจบและยกมือไหว้ขึ้นเหนือหัวบอกกับตนเองว่า ต่อไปนี้ลูกจะขอเดินตามรอยพ่อ” ลุงนิล บอกว่า นับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ตลอดระยะเวลา 19 ปี ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาประยุกต์ใช้ดำเนินในชีวิตก่อคุณประโยชน์ต่อตนเองน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯ มาปรับใช้ เช่น เราขยันอยู่แล้วแต่ต้องไม่โลภ และทำให้ความคิด ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เริ่มปลดหนี้สินต่างๆ ได้จนหมดประมาณ 12 ปี ครอบครัวพออยู่พอกินไม่มีหนี้สิน ทำเรื่องอยากให้เป็นเรื่องง่าย ๆ ทำให้ค้นหาตนเองเจอว่าต้องการอะไร ได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯ จุดเริ่มต้นคือ ต้องคิดถึงปากท้องเราก่อนเป็นอันดับแรก เราชอบกินอะไร ชอบทานอะไร ทำให้ร่างกายตนเองแข็งแรงก่อน ก็เริ่มปลูกสิ่งนั้น ปลูกสิ่งที่เราชอบ ทำให้ไร่สวนของเรามีพืชเกษตรที่หลากหลาย ได้นึกถึงตอนที่อยู่กรุงเทพฯ คนส่วนมากพักอาศัยตามคอนโดที่เป็นชั้น ก็ใช้ชื่อว่า สวนเกษตร "คอนโด 9 ชั้น" เริ่มคิดเป็นระดับชั้น คือ ชั้น 1 ในน้ำ มีปลา มีผักกระเฉด บัว ชั้น 2 อยู่ในดินพืชหัวทั้งหมด เช่น ขมิ้น กระชาย กลอย และ มันหอม เป็นต้น ชั้น 3 หลักหน้าดิน พริกขี้หนู ยอดเหลียง มะเขือ ชั้น 4 ส้มจื๊ด ชั้น 5 ปลูกกล้วยเล็บมือนาง ชั้น 6 ทุเรียนหมอนทอง ชั้น 7 ลองกอง มังคุด พริกไทยก็จะปลูกให้เลื้อยไปตามต้นไม้ที่ปลูกไว้เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง ชั้น 8 ปลูกไม้ใช้ต่าง ๆ เพื่อเป็นร่มเงา พื้นที่แห่งนี้เป็นธนาคารต้นไม้สาขาที่สามของโลกอีกด้วย อยากจะแนะนำว่า เวลาจะปลูกต้นไม้อย่าปลูกเชิงเดียวต้องปลูกหลายหลากชนิดถึงจะดีใบไม้จะเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ได้เป็นอย่างดี ชั้น 9 ปลูกไม้ยางนา ถวายในหลวงจำนวน 150 ต้น ก็ฝากลูกหลานว่าอย่าตัดกันนะ เก็บไว้ “จากวันนั้นที่ได้เดินตามรอยเท้าพ่อ ทำให้เราค้นหาตัวเราเจอ จากความรู้เพียงแค่ ป. 4 ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ทรงพระราชทานองค์ความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้หมดหนี้ทุกอย่าง และเวลาที่ผมเหลืออยู่ต่อจากนี้จะขอเพาะเมล็ดเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรินี้ ให้งอกงามขึ้นในแผ่นดินให้มากที่สุดเท่ากับชีวิตที่เหลืออยู่ อยากฝากทุกท่านว่าเราโชคดีที่สุดที่เกิดเป็นคนไทยและมีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเราอย่างมากมายให้พวกเรามีกินมีใช้อย่างสุขสบายเหมือนทุกวันนี้ ท่านแค่คิดดีทำดีถวายพระองค์ท่าน ความดีสามารถเป็นเกาะเพื่อป้องกันตัวเราให้ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข” ลุงนิลกล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขทิ้งท้าย