พระมหากรุณาธิคุณ/เสกสรร สิทธาคม ครูภูมิปัญญาไทยกับการเดินตามรอยพระราชดำริ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ "การสอนและอบรมให้เด็กมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พืชพรรณนั้น ควร ใช้วิธีการปลูกฝังให้เด็กเห็นความงดงาม ความน่าสนใจ และเกิดความปิติที่จะทำการ ศึกษาและอนุรักษ์พืชพรรณต่อไป การใช้วิธีการสอนการอบรมที่ให้เกิดความรู้สึกกลัวว่า หากไม่อนุรักษ์แล้วจะเกิดผลเสีย เกิดอันตรายแก่ตนเอง จะทำให้เด็กเกิดความเครียด ซึ่งจะเป็นผลเสียแก่ประเทศในระยะยาว" พระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเกี่ยวกับการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช 8 กุมภาพันธ์ 2536 ณ สำนักชลประทานที่1 จังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรีช่วงเดือนกันยายนแน่นอนที่สุดต้องเจอฝนแน่นอน โดยเฉพาะช่วงที่ไปเยือนจันทฯราวๆกลางเดือนที่กรมอุตุฯพยากรณ์ไว้ว่าจะเกิดฝนในพื้นที่ราวเกือบ 80%แล้วก็ไม่พลาดเจอฝนทั้งตอนเดินทางไปกลับ และตอนพักอยู่ที่จันทบุรีก็เจอฝน นั่นคือไปร่วมประชุมโครงการสร้างและขยายผลองค์ความรู้ความเข้าใจในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีให้แก่ข้าราชการ ครูอาจารย์ นักเรียนตลอดจนปราชญ์ชาวบ้านครูภูมิปัญญาไทยที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรีช่วงวันที่ 12 – 13 กันยายนที่ผ่านมา โดยกลุ่มพัฒนานโยบายด้านการเพิ่มโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิต สำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) โดยผอ.สมรัชนีกร อ่องเอิบมีโอกาสได้เดินชมสภาพพื้นที่ป่าโครงการสวนพฤกษศาสตร์ตามแนวพระราชดำริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯของมหาวิทยาลัยและที่สวนผลไม้ของครูภูมิปัญญาไทยรุ่น 6 ของสกศ.นายพุทธไนย ตันมณี ก็จะขอพูดถึงป่าไม้ในบ้านครูพุทธไนยป่าที่เรียกว่าสวนชื่อสวนพาราพิทักษ์ แม้จะไม่ได้สมัครเข้าโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ แต่วิถีปฏิบัติที่ครูพุทธไนยสร้างสรรค์ ปลุกปั้นปลูกฝังสวนพาราพิทักษ์เป็นวิถีที่เดินตามรอยพระบาทแนวพระราชดำริอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอย่างสมบูรณ์แบบ มิใช่เพียงเท่านั้นแต่หลักการสร้างสวนสร้างป่าในพื้นที่ราวๆ 210 ไร่กล่าวได้ว่านี่คือการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในบ้านตัวเอง เป็นมรดกของตัวเองของครอบครัว เป็นที่รวมแห่งความสมบูรณ์ของปัจจัย 4 ที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิต ที่แผ่ผลบุญไปถึงส่วนรวมคือจังหวัดและคนไทยอีกมากมายที่มีโอกาสแวะเวียนไปเยือนได้ซึมซับความสุขสดชื่นแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็เถอะก็ถือได้ว่าร่วมได้รับอานิสงค์ไปด้วย ผืนป่าเล็กๆที่รวมกันอยู่ในพื้นที่ที่ถูกเรียกว่าสวนพาราพิทักษ์ มีทั้งไม้ผลอย่างเช่นมังคุด ลองกอง หว้า มะพลับไทย ทุเรียน ไม้ที่เป็นสมุนไพรอย่างเช่นสมอพิเพก สมอไทย มะขามป้อม สำรองเป็นต้น พืชสมุนไพรก็มีผักโขม กระวาน คำฝอย หญ้านาง เป็นต้นรวมถึงผักที่ใช้บริโภคในครัวเรือนโดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดข้างนอก ตรงกันข้ามตลาดต้องแวะเวียนมานำผลผลิตจากสวนพาราพิทักษ์ไปขายยังตลาดต่อไป ภาพรวมสวนของครูพุทธไนยโดยองค์รวมแล้วคือที่รวมของปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของคนของมนุษย์ที่ต้องมีขาดไม่ได้คือปัจจัย 4 อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และปัจจัยสำคัญที่ง 4 อย่างนี้รวมกันแล้วก็คือทรัพยากรธรรมชาติที่รวมของพันธุกรรมพืชนั่นเอง อยู่ที่บ้านครูพุทธไนยก็คือสวนพาราพิทักษ์และโรงงานผลิตน้ำสมุนไพรผลไม้ออแกนิคภายใต้คำขวัญ “รักชีวิตรักษ์โลก บริโภคอาหารออแกนิค”ผลิตในนามวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตสมุนไพรบ้านเกาะลอย ท่ามกลางท้องฟ้าที่ครึ้มไปด้วยเมฆคลุมไม่มีวี่แววว่าจะมีช่องว่างให้พระอาทิตย์โผล่มาให้แสงแดด ก่อนพาเดินชมสวนครูพุทธไนยสรุปที่มาที่ไปของสวนแห่งนี้พอได้ภาพ ให้ชิมลองกองที่เพิ่งตัดลงจากกิ่งไม่ถึงครึ่งวัน ชิมน้ำลูกหล้าสีแดงเข้มรสออกเปรี้ยวพอใส่น้ำตาลเล็กน้อยช่วยให้เกิดความหวานผสมเข้ามาเป็นหวานอมเปรี้ยว พอสมควร ครูพาเดินเข้าพื้นที่สวนเริ่มตรงต้นมะพลับมะพลับที่ว่านี้คือมะพลับไทยที่เวลานี้น่าจะหาดูต้นและผลได้ยากถึงยากมาก(ยกเว้นที่สวนพาราพิทักษ์) จะอธิบายยังไงจึงจะเห็นภาพก็นึกไม่ออกลูกสีเหลืองสดเวลาสุกเต็มที่สีเกือบเหมือนหรือพลับโครงการหลวงของไทยเรานี่แหละเวลาสุกแล้วผลกินได้ พลับไทยลูกคล้ายตะโกแต่ผลใหญ่กว่า แต่พลับที่สวนครูพุทธไนยยังไม่สุก ครูพุทธไนยบอกว่าผลมะพลับสุกนั้นกินได้ แต่คนมักใช้ประโยชน์ส่วนใหญ่จากยางผลมะพลับดิบเป็นยางที่มีคุณภาพดีกว่ายางลูกตะโก แต่เพราะน่าจะหายากกว่าผลผลิตจึงมีน้อยความต้องการมีมาก มีคนหัวใสเอายางตะโกมาหรอกจึงเป็นที่มาของวลีโบราณที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก”นั้นเอง เดินเข้าสวนไปต้นลองกองที่พวงผลย้อยห้อยล่อตาและเรียกต่อมน้ำย่อยพลอยกระตุ้นให้มือขยับจะเอื้อมเด็ดผลที่สังเกตุแล้วว่าน่าจะแก่ลิ้มรสได้ ครูเหมือนจะเดาอาการผู้ไปเยือนออกบอกดังๆว่า “เด็ดชิมได้นะครับ” มีกระท้อนแซมบ้างแต่เห็นแต่ต้นและใบไม่เห็นผล ไม้สมุนไพรก็สมอพิเพก สมอไทย มะขามป้อม แต่ครูต้องบอกว่าต้นไหนคืออะไรส่วนใหญ่จะหาคนรู้จักยากนอกจากครูภูมิปัญญาด้านเกษตรด้วยกัน ที่พื้นสวนนอกจากหญ้าแล้วที่เห็นคือต้นหญ้านางขึ้นแซมหญ้าเต็มไปหมด “ผมดำเนินวิถีชีวิตกับการสร้างสวนเป็นแนวผสมผสานโดยน้อมนำเอาหลักการตามแนวทฤษฎีใหม่ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือคนเป็นเกษตรกร เป็นชาวสวนต้องขยันอยู่เฉยๆไม่ได้ ขยันนะไม่ใช่โลภทำไม่หยุดแต่ไม่โลภ ต้องอดทนเพราะงานจะหนัก ต้องใช้วัสดุที่มีอยู่ในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นปัจจัยในการทำอาชีพ แล้วก็ต้องรู้จักให้รู้จักแบ่งปันไม่หวงความรู้ ทำไปก็ต้องศึกษารากฐานของพืชพันธุ์ พันธุกรรมเพื่อจะได้รู้จักรู้ถิ่น รู้ประโยชน์ รู้ความสัมพันธ์กันระหว่างไม้แต่ละสายพันธุ์กับสภาพแวดล้อมดินฟ้าอากาศ ส่วนหนึ่งผมนึกถึงแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีที่ทรงสร้างโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชก็น่าจะทรงมุ่งประโยชน์ด้านการอนุรักษ์และประโยชน์ใช้สอยด้วย”ครูพุทธไนยบอกขณะพาเดินชมสวน ท่ามกลางบรรยากาศที่เม็ดฝนทำท่าจะย้อยลงมาถึงจะยังอยากดื่มด่ำกับความร่มรื่นของพันธุ์ไม้หลากชนิดสีสันแต่ก็เป็นจังหวะเวลาพอสมควรที่จะต้องออกจากสวนและล่ำลาครูพุทธไนย นายพุทธไนย ตันมณี นอกจากเป็นครูภูมิปัญญาไทยของสำนักงานสภาการศึกษา(สกศ.) กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ยังได้รับการประกาศเป็นเกษตรกรดีเด่น ประจำปี 2557 สำนักวิจัยและพัฒนาเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี สาขาการผลิตพืชอินทรีย์ อยู่บ้านเลขที่ 36 ถนนทรัพย์เจริญ ต.แก่งหางแมว อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี การศึกษา ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ สาขาพลศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) พ.ศ.2523 ศึกษาวิชาการแพทย์แผนไทยจากสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2546 เป็นเจ้าของสวนพาราพิทักษ์ ปลูกพืชผสมผสาน เนื้อที่กว่า 210 ไร่ ได้แก่ มังคุด ลองกอง กาแฟ สมุนไพร และสวนป่าหลากหลายชนิด ได้น้อมนำหลักการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปรับเปลี่ยนการทำเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบันโดยเห็นว่า เกษตรอินทรีย์เป็นผลดีต่อเกษตรกรผู้ผลิต ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ครูพุทธไนยบอกว่าจุดเริ่มต้นมาจากเมื่อปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ได้ฟัง ได้อ่านพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง การพึ่งพาตนเอง จึงปลูกสมุนไพรที่เป็นอาหาร ยาและด้านการเกษตร เพื่อใช้ดูแลสุขภาพและเพื่อการอนุรักษ์มากขึ้น โดยปลูกเป็นแปลงในพื้นที่ 20 ไร่ และปลูกแซมในสวนรวมประมาณ 200 ชนิด ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ การทำเกษตรธรรมชาติจากหนังสือ เอกสาร แผ่นพับและอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับการเกษตร “การปลูกสมุนไพรได้ประโยชน์ทั้งจากการทำอาหารและยาจากสมุนไพร การใช้สมุนไพรกำจัดแมลง และการแปรรูปผลผลิต ฯลฯ จากการทำงานอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจและใส่ใจในการผลิตทั้งผลิตผลและผลิตภัณฑ์แปรรูป” ครูบอกด้วยว่านอกจากจะผลิตผลไม้เพื่อจำหน่ายเป็นผลไม้สดแล้ว ยังมีการนำผลผลิตมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์เพื่อสุขภาพเป็นการเพิ่มมูลค่า โดยจัดตั้ง วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตพืชสมุนไพรบ้านเกาะลอย ปี 2548 ซึ่งกระบวนการผลิตได้มีการควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่การจัดการผลิตจนถึงการแปรรูป ปัจจุบันได้ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปหลายชนิด ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำมังคุด น้ำมังคุดผสมลองกอง น้ำมังคุดผสมสำรอง น้ำลูกหว้า น้ำมะขามป้อม น้ำสำรองผสมดอกคำฝอย น้ำตรีผลาและสมุนไพรแปรรูป เช่น ผักโขมผง สำรองผง ชากระวาน เป็นต้น นายพุทธไนย เป็นที่รู้จักของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ GAP กลุ่มผู้สนใจด้านสมุนไพร และกลุ่มผู้รักสุขภาพจำนวนมาก โดยมีคณะบุคคลต่าง ๆ มาขอรับการอบรม ศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์และการแปรรูปผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องจนได้รับคัดเลือกให้เป็นสวนเกษตรอินทรีย์ต้นแบบครบวงจรของจังหวัดจันทบุรี สำหรับจังหวัดจันทบุรี เป็น 1 ใน 6 จังหวัดนำร่องการดำเนินงานโครงการเมืองเกษตรสีเขียว (Green Agriculture City) โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้คัดเลือก 6 จังหวัดนำร่องในการดำเนินงาน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ หนองคาย ศรีสะเกษ จันทบุรี ราชบุรี และพัทลุง จังหวัดจันทบุรีถือเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของประเทศ ไม่เพียงแต่เฉพาะด้านผลไม้เท่านั้น ยังมีพืชผัก อาหารทะเลอีกมากมาย ที่เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชาวไทยและส่งจำหน่ายไปยังต่างประเทศ ดังนั้น การขับเคลื่อนให้จังหวัดจันทบุรีเป็นเมืองเกษตรสีเขียว ก็เพื่อมุ่งให้เกษตรกรมีการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำวัสดุหรือสิ่งเหลือใช้ในแปลงมาก่อประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญคือลดการใช้สารเคมีลงเรื่อย ๆ จนถึงระดับที่เป็นเกษตรอินทรีย์ได้จะยิ่งดี เพื่อความปลอดภัยต่อเกษตรกร ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ต้องมีอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย