“วิษณุ” แจงมติศาลรธน. ให้ 2 สภา (ส.ส.-ส.ว.) โหวตเลือกนายกฯจากบัญชีพรรคการเมือง 376 เสียง แต่ถ้าเอาคนนอกเข้าชื่อ 376 คนก่อนโหวต ให้ได้ 501 เสียง เพื่อยินยอมชื่อนายกฯคนนอก จากนั้นส.ส.มีสิทธิเสนอชื่อ ส่วนส.ว.มีสิทธิแค่ร่วมโหวต เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 29 ก.ย.59 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไปปรับแก้เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชาชามติ ว่า จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมานั้น ข้อความสำคัญอยู่ที่ 2-3 หน้าสุดท้ายเท่านั้น โดยสรุปง่ายๆถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งคือ เมื่อไม่สามารถหาชื่อนายกฯจากบัญชีของพรรคการเมืองได้ ก็ให้สมาชิกรัฐสภา (ส.ส.หรือส.ว.) เสนอให้ใช้ชื่อจากคนนอก ซึ่งการเสนอนี้จะต้องมีเสียงเห็นชอบในการเสนอครึ่งหนึ่งของรัฐสภานั้นคือ 376 เสียง และเมื่อเสนอครบแล้วว่าจะต้องเอาคนนอกบัญชี แล้วทั้งหมด 700 กว่าคนก็ต้องมาโหวตกัน ซึ่งการโหวตตรงนี้จะต้องได้คะแนนเสียง 2 ใน 3 นั้น คือ 500 เสียง ซึ่งถึงตรงนี้ก็ยังไม่ได้ชื่อหรือตัวนายกฯ แล้วจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการต่อไป นายวิษณุ กล่าวว่า จากนั้นวันรุ่งขึ้นเมื่อมีการยินยอมให้เสนอชื่อคนนอกแล้ว ก็ต้องมาเริ่มโหวตให้ได้คะแนน 376 เสียง แต่ไม่ได้มีตรงไหนระบุว่า แล้วคนที่จะเสนอชื่อนายกฯนั้น จะต้องเป็นส.ส.หรือส.ว. ตรงนี้จึงเป็นที่มาที่ทำให้กรธ.อธิบายว่าก็ไม่มีตรงไหนระบุว่าให้ส.ว.เป็นคนเสนอชื่อ ดังนั้นจึงต้องกลับมาให้ส.ส.เป็นคนเสนอแล้ว จึงให้ส.ว.เป็นคนร่วมโหวต นายวิษณุ กล่าวอีกว่า อีกประเด็นหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญอ่านแล้วเห็นว่าถ้อยคำยังไม่ชัด จึงให้กรธ.แก้ไขมาให้ชัดเจน เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อไม่ให้มีปัญหาอีกต่อไป ในประเด็นที่กรธ.เขียนว่า ในวาระเริ่มแรก ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจไปว่า การหานายกฯแบบยุ่งๆที่กล่าวมา ให้ใช้เฉพาะตอนเริ่มแรกหลังจากมีรัฐสภา คือ หลังเลือกตั้งแล้วถ้าได้นายฯมาอยู่ไป 1 ปี นายกฯตายหรือลาออก หรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พ้นจากตำแหน่ง หรือถูกถอดถอน ซึ่งอยู่ในห้วง 5 ปี แล้วเป็นการหานายกฯหนที่ 2 ก็ถามว่าจะไปหานายกฯแบบที่ยุ่งๆแบบเก่าหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงเห็นว่า เมื่อกรธ.ใช้คำว่าในวาระเริ่มแรกนับตั้งแต่มีการได้สมาชิกรัฐสภาจะชวนให้เกิดความเข้าใจไปว่าเฉพาะหนแรกหนเดียว แต่ในเมื่อเจตนารมณ์ของประชามติหมายถึงกี่หนก็ได้ แต่ให้อยู่ใน 5 ปีจึงให้ไปแก้ถ้อยคำให้ชัดเจนเป็นว่ากี่หนก็ได้ใน 5 ปี เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ผู้สื่อข่าวถามว่ากลไกดังกล่าวจะทำให้ได้นายกฯคนนอกและอยู่ยาวถึง 8 ปีหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ หากอึดและทน รวมถึงเจตนาเป็นอย่างนั้น เพราะนี่คือประชามติก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อีกทั้งดูน้ำใจส.ส.และดูเหตุการณ์ว่าบุคคลนั้นมีความป็อปปูล่าร์ถึงขนาดว่าเลือกกี่ครั้งก็ได้กลับเข้ามาอีก ถ้าถึงขนาดนั้นประเทศไทยก็คงต้องยอม “ต่อไปนี้ประเทศไทยการหานายกฯ เริ่มจากประชุม 2 สภาฯแล้วเลือกว่าจะเอาใครเป็นนายกฯโดยต้องมาจากบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอพรรคละ 3 คน แล้วถ้าได้ก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ โดยดูจากคะแนนว่าใครได้ถึง 376 เสียงคนนั้นก็ได้เป็นนายกฯ ถ้าไม่ได้ถึง 376 เสียงก็ต้องประชุมกันทุกวัน จนกว่าจะได้ 376 เสียง จนถึงวันหนึ่งถ้าเบื่อแล้วก็แปลว่าจะเอาคนนอกบัญชีก็ต้องให้ส.ส.หรือส.ว.ก็ได้รวมกันเข้าชื่อให้ได้ 376 คนเสนอขอเอาคนนอกก็แปลว่าญัตตินี้จะเข้าไปในสภาฯแล้วสภาฯต้องโหวตเพื่อยอมให้เอาคนนอก โดยมีเสียง 501 คน แต่ถ้าได้ไม่ถึง 501 คนก็แปลว่าไม่มีโอกาสจะเอาคนนอก ดังนั้นก็ต้องกลับไปตะบี้ตะบันเอาจากพรรคละ 3 รายชื่อ แต่ถ้าได้ถึง 501 คนแปรว่ายอมให้เอาคนนอก พรุ่งนี้ก็มาประชุมกันใหม่ ใครเสนอชื่อนายกฯขึ้นมาแล้วโหวตได้ 376 เสียงคนนั้นก็เป็นนายกฯแล้วถ้ายังไม่ถึง 376 เสียงอีกก็ทำไปจนกระทั่งได้ 376เสียง” นายวิษณุ กล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าส.ว.จะเป็นตัวแปรที่ทำให้ได้นายกฯคนนอกง่ายขึ้น นายวิษณุ กล่าวว่า ประชามติต้องการให้เป็นตัวแปรตามที่มีคำถามพ่วง