เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ต.ค. 59 พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช รอง ผบช.ภ.7 พ.ต.อ.กิตติภพ ชมพูนุช ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.สมบัติ โพธิ์งาม รอง ผกก.ป.สภ.เมืองราชบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.เมืองราชบุรี ได้ทำการควบคุมตัว นายสุนันท์ โตแทน อายุ 38 ปี เลขที่ 53 ม.2 อ.เมือง จ.กระบี่ ผู้ต้องหาตามภาพสเก็ตที่ผู้เสียหายให้การไว้ ตามหมายจับศาลจังหวัดราชบุรี จ. 358/1/2559 ลง ณ วันที่ 29 ก.ย.2559 ในข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมโทรศัพท์ กล้องส่องพระ และเมมโมรี่การ์ดโทรศัพท์จำนวน 2 อัน เสื้อยืดสีส้มแขนสั้นหน้าอก ปักสกรีนอักษร Class of 2003 5 Year Reunion หมวกแก๊ป ซึ่งเป็นชุดที่ใส่ในวันก่อเหตุ พร้อมทั้งรถจักรยานยนต์ฮอนด้าคลิกสีดำคาดลายทองที่ใช้เป็นยานพาหะนะในวันก่อเหตุ นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์มือถืออีก 2 เครื่อง พวงกุญแจรถจักรยานยนต์ฮอนด้า 1 พวงซึ่งเป็นของผู้เสียหาย ซึ่งของกลางทั้งหมดเจ้าหน้าที่ได้นำมาทำการสอบสวน พร้อมได้ส่งรูปถ่ายของผู้ต้องสงสัยให้ผู้เสียหายทั้งสองรายยืนยันว่าเป็นคนร้ายในคืนวันก่อเหตุหรือไม่ ซึ่งทั้งสองรายยืนยันตรงกันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน โดยจำหน้าได้อย่างชัดเจน โดยที่นายสุนันท์ จำนนต่อหลักฐานและภาพวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพไว้ได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวนายสุนันท์แถลงต่อสื่อมวลชนเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งในคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.ย.59 ที่ผ่านมา “นางสาวเพลินตา เดือนแร่รัมย์” หรือ น้องทราย (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี ชาวบ้านตำบลพิกุลทอง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ได้โพสตข้อความเตือนภัยเพื่อสาว หลังรอดเงื้อมมือจากโจรโรคจิตรที่ตะเวนขี่รถจักรยานยนต์ดักจี้หมายข่มขืนใต้อุโมงค์สะพานโคกหม้อถนนเพชรเกษมเมืองราชบุรี โดยระบุข้อความว่า “เมื่อคืนเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ เราถูกจี้มันเอากุญแจรถเราและกระเป๋าตังเราไปในนั้นมีโทรสัพ 2 เครื่องแล้วถอดเสื้อผ้าเราหมดเลยพยายามจะขมขืนแต่เราหนีออกมาได้ทันระวังกันด้วยนะตรงสะพานโคกหม้ออ่ะ” โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ก.ย. โดยก่อนหน้า 1 สัปดาห์ วันอาทิตย์ที่ 18 ก.ย. นางสาวส้ม (นามสมมุติ แฟนสาวของนายสุทัศน์ ขาวสะอาด หรือ ทัศ (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี ชาวบ้านในตำบลโคกหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีถูกคนร้าย จับน่าอก และหอมแก้ม เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดหลายจุด พบว่าคนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์รอบเมือง เพื่อหาเหยื่อสาวที่มาตามลำพังกลางดึก และขับขี่รถคนเดียว ต่อมาได้ทำการสเก็ตภาพลักษณะของคนร้ายพร้อมทั้งออกหมายจับ เมื่อพบผู้ต้องสงสัยจึงได้นำภาพถ่ายให้กับผู้เสียหายทั้งสองได้ดู และผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นคนร้ายตัวจริง จึงได้ควบคุมตัวมาสอบปากคำและดำเนินคดี จากการสอบสวนนายสุนันท์ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนมีอาชีพรับจ้างทำงานก่อสร้าง ซึ่งในตอนกลางวันจะทำงานก่อสร้างปกติ แต่พอช่วงกลางดึกตนจะขี่รถ จยย.ออกตะเวนไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นเหยื่อขับขี่รถมาคนเดียวก็จะเข้าประกบจับนม แล้วขี่หนีไป แต่บริเวณไหนที่เปลี่ยวปลอดคนก็จะทำการรวนรามถ้าข่มขืนได้ก็จะทำ จากนั้นก็จะนำทรัพย์สินของผู้เสียหายมาด้วย ทำอย่างนี้เป็นประจำและทำมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เคยติดคุกอยู่ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ในคดีชิงทรัพย์และอนาจาร เพิ่งจะออกจากคุกมาได้ 3 เดือนและก็กลับมาอยู่กับญาตที่ จ.ราชบุรี ซึ่งก็ไม่เลิกและกลับมาทำเหมือนเดิมจนกระทั่งถูกจับกุม อย่างไรก็ตามในคดีนี้หลังจากที่เรื่องราวการเตือนภัยของหญิงสาวรายนี้ได้แพร่ออกไปตามสื่อต่างๆ โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก ถึงความไม่ปลอดภัยทางสังคมและการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้หลายหน่วยงาน อาทิ ตำรวจ ทหาร เทศบาลตำบลหลักเมือง เจ้าหน้าที่แขวงการทาง และกำนันผู้ใหญ่บ้าน ได้ร่วมประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา จนมีการเข้าปรับปรุงพื้นที่บริเวณอุโมงค์ใต้สะพานโคกหม้อถนนเพชรเกษมที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ โดยมีการติดไฟส่องสว่างเพิ่มเติม ติดกระจงมองทาง และปรับพื้นที่ให้โล่งเตียน ขณะเดียวกันตำรวจได้เผยภาพสเก็ตซ์ของคนร้ายและทำการเร่งติดตามจากแหล่งข่าวและข้อมูลเชิงลึกจนสามารถควบคุมผู้ต้องสงสัยตามภาพสเก็ตซ์และหมายจำของศาลจังหวัดราชบุรี ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าคนร้ายเป็นใครอยู่ที่ไหน เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 1 ตค. 59 เวลา 14.30 น. หลังจากผู้เสียหายทั้งสองได้ยืนยันแล้วว่าเป็นคนร้ายคนเดียวกัน ซึ่งรวมแล้วเวลาใช้เวลา ไม่ถึง 48 ชม.สามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้สำเร็จ เบื้องต้นจากข้อมูลของคนร้ายทราบว่าเป็นชาวบ้านพักอยู่ใน บ้านไร่ชาวเหนือ ต.บ้านไร่ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ด้านผู้เสียหายทั้งสองรายได้เปิดเผยว่า พวกตนรู้สึกดีใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้สำเร็จ โดยจากภาพที่ปรากฏตามสื่อออนไลน์ขณะนี้ว่าสามารถจับกุมคนร้ายได้แล้ว ซึ่งทั้งสองคนยืนยันว่าเป็นคนร้ายคนเดียวกันที่ก่อเหตุ เพราะเสื้อที่สวมใส่ รถจักรยานยนต์ที่ใช้ขับขี่มา โดยเฉพาะโทรศัพท์ที่ยึดได้ตามในรูปก็เป็นของตนจึงมั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่จับกุมผิดตัว ทั้งนี้ต้องขอบคุณการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานกันจนเต็มที่และสามารถจับกุมคนร้ายได้สำเร็จ และขอบคุณพลังโซเชียลที่ให้กำลังใจ ซึ่งตอนนี้พวกตนเองก็สบายใจสามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติไม่ต้องมาหวาดระแวง แต่ก็ไม่ประมาทที่จะเดินทางโดยลำพังใยเวลายามวิการโดยเฉพาะในพื้นที่เปลี่ยวและมืด