สนช.ถกแถลงเปิดคดีถอดถอน“ประชา” ป.ป.ช.ยำเละใช้อำนาจรมช.มหาดไทยก้าวก่ายบอร์ดอต.ยับยั้งลงโทษ “ธีธัช” ขณะที่อดีตรมช.มหาดไทยโต้แหลกปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปัดล้วงลูก ยันทำตามกฎหมาย ยกคำพิพากษาศาลปกครองกลางพิสูจน์ ยืนกรานโดยสุจริตรมต.มีอำนาจแต่งตั้ง-ถอดถอนบอร์ด ชี้ทุกรัฐบาลตั้งบอร์ดอต.ได้ อ้างรัฐบาล “บิ๊กตู่”เปลี่ยนแล้วถึง 2 ครั้ง นัดประชุมซักถามต่อ11 ส.ค. เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาการแถลงเปิดสำนวนถอดถอนนายประชา ประสพดี อดีตรมช.มหาดไทย ออกจากตำแหน่ง กรณีใช้ตำแหน่งรมช.มหาดไทย แทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการองค์การตลาด(อต.) กระทรวงมหาดไทย ตามที่คณะกรรมการป.ป.ช.ส่งให้สนช.พิจารณา ทั้งนี้น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. เป็นผู้แถลงเปิดสำนวนกล่าวหานายประชาว่า ในเดือนมิ.ย. 55 มีการร้องเรียนนายธีธัช สุขสะอาด ผอ.อต.ในขณะนั้น ตามความผิดพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 กรณีสมยอมราคา การปรับปรุงอาคารทรงไทย สำนักงานอต.อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้อต.เสียประโยชน์ ซึ่งอต.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และสรุปผลสอบสวน นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมอต.ในวันที่ 2 พ.ย. 55 เพื่อพิจารณาเลิกจ้างนายธีธัช แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 55 นายประชาได้โทรศัพท์ไปหารองประธานอต. ในขณะนั้น เพื่อสั่งการให้ชะลอการประชุมอต.ในวันที่ 2 พ.ย.ออกไปก่อน ทำให้นายสำคัญ ธรรมรัต ประธานอต.ในขณะนั้น ต้องเลื่อนการประชุมออกไป แม้ต่อมานายสำคัญจะนัดประชุมอต. เพื่อพิจารณาลงโทษนายธีธัชอีกครั้งในวันที่ 12 พ.ย. 55 แต่มีหนังสือลงนามจากนายประชาสั่งให้ชะลอการประชุมออกไปอีกจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง น.ส.สุภา กล่าวว่า ในที่สุดอต.ได้นัดประชุมครั้งที่ 3 ในวันที่ 15 พ.ย. 55 และมีมติปลดนายธีธัชออกจากตำแหน่งผอ.อต. ทำให้นายประชาโทรศัพท์ไปต่อว่า นายสำคัญที่นัดประชุม โดยฝ่าฝืนคำสั่งของนายประชา ขณะเดียวกันนายประชายังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า คำสั่งเลิกจ้างนายธีธัช เป็นการประชุมโดยมิชอบ ไม่มีผลผูกพัน จากนั้นนายประชามีคำสั่งปลดคณะกรรมการอต. 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับการปลดนายธีธัช ซึ่งป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของนายประชาเข้าข่ายก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการอต. แม้นายประชาจะเป็นรมช.มหาดไทย รับผิดชอบอต. แต่ก็มีอำนาจกำกับดูแลเฉพาะเรื่องนโยบายเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายเรื่องการเลื่อนประชุม และลงโทษ ทั้งนี้นายประชาได้รับการแต่งตั้งเป็นรมช.มหาดไทย เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 55 แต่ระหว่างนั้นยังไม่มีการถวายสัตย์ปฏิญาณ และการแบ่งงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งนายประชาได้รับมอบหมายให้ดูแลงานองค์การตลาด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 55 ดังนั้นการดำเนินการของนายประชาในช่วงก่อนวันที่ 12 พ.ย. และหลังวันที่ 12 พ.ย.จึงเป็นการแทรกแซงองค์การตลาด เข้าข่ายถูกถอดถอน ตามความผิดมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 และมาตรา 64 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2542 จึงส่งเรื่องให้สนช.ดำเนินการถอดถอนต่อไป ด้านนายประชา ผู้ถูกกล่าวหา กล่าวว่า ขอคัดค้านทุกข้อกล่าวหา การที่ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องถอดถอนนั้นตามข้อกฎหมายทำไม่ได้ เพราะไม่ได้มีการยื่นคำร้องในการถอดถอนตนในกรณีดังกล่าวตั้งแต่แรก ประกอบกับคณะอนุกรรมการไต่สวน และกรรมการป.ป.ช.เสียงข้างน้อยได้ทักท้วงเรื่องนี้ แต่กรรมการป.ป.ช.ก็ไม่ได้วินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนเองก่อน แต่กลับส่งเรื่องให้สนช.พิจารณา ส่วนข้อกล่าวหาว่าตนใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายที่ประชุมอต.นั้น ทางป.ป.ช.มีความเข้าใจคาดเคลื่อนในข้อกฎหมาย ทั้งเรื่องการเลิกจ้างผอ.อต.จะต้องเสนอต่อผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนให้ความเห็นชอบก่อน ซึ่งเรื่องนี้มีพยานและความเห็นทางกฎหมายจากหลายหน่วยงาน ทั้งในส่วนกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รวมไปถึงคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และความเห็นของคณะกรรมการกฏษฎีกายืนยันด้วย ส่วนใช้การอำนาจสั่งให้ชะลอการประชุมคณะกรรมการอ.ต.นั้นยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาก้าวก่ายแทรกแซง แต่ขอให้รอตนเข้าไปมอบนโยบายก่อน โดยได้ทำหนังสือแจ้งอย่างเปิดเผยและเป็นทางการ เพราะตนเข้าใจโดยสุจริตว่า รมช.มหาดไทยมีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้ ซึ่งศาลปกครองกลางก็มีคำพิพากษาว่าความเป็นรมช.ของตนสามารถใช้อำนาจหน้าที่ดังกล่าวได้ และยังมีผลตามกฎหมายด้วย จึงทำให้มติของที่ประชุมคณะกรรมการอต.สั่งให้เลิกจ้างนายธีธัช ซึ่งไม่มีผลและไม่ผูกพันตามกฎหมาย ซึ่งกรรมการป.ป.ช.ก็ยอมรับอำนาจหน้าที่ของตน “การกระทำของผมจึงไม่อาจถือว่าเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงตามที่ถูกกล่าวหา และไม่มีเหตุผลใดที่จะเข้าไปช่วยเหลือ หรือเอื้อประโยชน์ให้กับนายธีธัช เพื่อไม่ให้ไปดำเนินการทางวินัย และอาญา ซึ่งกระบวนการในการดำเนินคดีกับนายธีธัชก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และกรรมการป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวตกไป ส่วนการดำเนินการทางวินัยก็สอบสวนจนเป็นที่ยุติว่านายธีธัช ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผมจึงดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนอำนาจในการแต่งตั้ง และถอดถอนกรรมการอต.พ้นจากตำแหน่งเป็นอำนาจของ ครม. ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจก็ทำเป็นประจำในทุกรัฐบาล โดยเฉพาะอต.มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง รวมทั้งรัฐบาลปัจจุบันก็เปลี่ยนแล้วถึง 2 ครั้ง ผมไม่ได้มีเจตนาที่กลั่นแกล้งหรือทำความเสียหายให้แก่กรรมการคนใด”นายประชา กล่าว นายประชา กล่าวว่า ดังนั้นตามข้อจริง และข้อกฎหมาย จึงขอคัดค้านและโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวนข้อกล่าวหาทั้งหมด เพราะเป็นข้อกล่าวหาที่ผิดไปจากหลักการทางกฎหมาย และไม่เป็นความจริง ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ถูกยกเลิกไปแล้ว และตนก็ได้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีมานานแล้ว จึงขอให้สนช.พิจารณาข้อเท็จจริงด้วยความเป็นธรรม จากนั้น นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการซักถาม จำนวน 7 คน ก่อนได้กำหนดนัดประชุมเพื่อให้คณะกรรมาธิการซักถามถามคู่กรณีในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป