ปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 นับว่าเป็นปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง และเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในหลาย ๆ มิติ หนึ่งในนั้น คือ ผลกระทบทางสุขภาพ จึงมีความพยายามที่จะแก้ปัญหา สร้างเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนงานแก้ปัญหาฝุ่นพิษนี้อย่างจริงจัง เช่นเดียวกับ สสส.ที่เร่งขยายพื้นที่ต้นแบบ “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” จากเดิม 30 โรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือให้ครอบคลุม 140 โรงเรียนทั่วประเทศในปี 2565 เพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบในการรับมือกับวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ผ่านการสร้างองค์ความรู้ โดยมีนักเรียนเป็นแกนกลางสู่การตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพร่วมกับชุมชนและท้องถิ่น

ล่าสุดได้ขยายผลมาสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เริ่มที่จังหวัดขอนแก่นเป็นแห่งแรก และต่อไปยังอุดรธานี เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ประสบภาวะวิกฤตปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากพฤติกรรมการเผาภาคการเกษตร ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม www.ห้องเรียนสู้ฝุ่น.com

นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ สสส.จับมือกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเติมเต็มวิสาหกิจเพื่อสังคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่าย เร่งสร้างความร่วมมือขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ระดับพื้นที่ไปถึงระดับนโยบาย ริเริ่มโครงการสร้างองค์ความรู้สำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อการตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก

มุ่งพัฒนาแนวทางการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรตามบริบทของ 4 พื้นที่เสี่ยง 1.ภาคเหนือ (เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย แพร่ แม่ฮ่องสอน พะเยา) 2.พรมแดนระหว่างประเทศ (ไทย-ลาว) 3.ภาคกลาง (กรุงเทพฯ) 4.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อุดรธานี ขอนแก่น) เพื่อให้เกิดพื้นที่ต้นแบบในการรับมือกับวิกฤตฝุ่น PM 2.5 นำไปสู่นโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ด้านนายรุจติศักดิ์ รังสี หัวหน้าสำนักงานจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ข้อมูลย้อนไปในช่วง 10 ปี พบว่าจังหวัดขอนแก่นเกิดจุดความร้อนตั้งแต่ ธ.ค. ถึง มี.ค. เหมือนกันทุกปี สาเหตุหลักเกิดจากกิจกรรมการเผาในไร่อ้อย ทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานกระทบต้อสุขภาพของคนในพื้นที่ จึงได้ร่วมกับ สสส. และภาคีเครือข่าย พัฒนาต่อยอดและขยายผล “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้โครงการสร้างองค์ความรู้สำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อการตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 มุ่งเป้าสร้างโรงเรียนต้นแบบห้องเรียนสู้ฝุ่น 10 โรงเรียน

“ขอนแก่น ถือเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่ปลูกอ้อยมากที่สุดในไทย เมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยวอ้อยต้องใช้การเผาเป็นหลัก นโยบายต่างๆ ของจังหวัดที่ออกประกาศห้ามเผา อาจใช้ไม่ได้ผลเท่าพลังของคนในชุมชนและสังคมห้องเรียนสู้ฝุ่น จึงถือเป็นนวัตกรรมองค์ความรู้ ที่ทำให้เด็ก เยาวชน และคนในชุมชน ร่วมรับมือกับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ที่เกิดการเผา สิ่งสำคัญคือ การสร้างพลเมืองให้สามารถสื่อสารสร้างความตระหนักรู้แก่คนในชุมชนถึงผลกระทบต่อสุขภาวะจากฝุ่น PM 2.5 จนเกิดเป็นการเปลี่ยนค่านิยมลดการเผาในที่โล่งเป็นศูนย์ภายในปี 2566   สู่การเป็นพื้นที่นำร่องในการแก้ไขปัญหาและงดเผาอ้อยไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้” นายรุจติศักดิ์ กล่าว

ในขณะที่ นายศราวุธ นาเสงี่ยม ผู้อำนวยการโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน 3 หนึ่งในโรงเรียนต้นแบบห้องเรียนสู้ฝุ่น สสส. กล่าวว่า โรงเรียนเคยประสบกับปัญหาฝุ่นควันจนต้องหยุดทำการเรียนการสอน แต่เมื่อได้เข้าร่วมโครงการของ สสส. ทางโรงเรียนได้เพิ่มกิจกรรมห้องเรียนสู้ฝุ่น เสริมหลักสูตรการเรียนการสอนแบบบูรณาการ เรียนรู้เรื่องพิษภัยและวิธีป้องกันฝุ่นในระดับชั้นมัธยมศึกษา สอดคล้องนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเรื่องการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิเคราะห์หาสาเหตุและผลกระทบ เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ จิตสำนึกที่ดี

“โครงการนี้ทำให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ร่วมสร้างพื้นที่ต้นแบบในการรับมือกับวิกฤตฝุ่น PM 2.5 โดยใช้นวัตกรรมห้องเรียนสู้ฝุ่น ที่ทำให้เด็ก เยาวชน และคนในชุมชน ร่วมรับมือกับผลกระทบจากฝุ่นพิษที่เกิดการเผา เป็นการสร้างพลเมืองให้สามารถสื่อสารสร้างความตระหนักรู้จนเปลี่ยนค่านิยมลดการเผาในที่โล่ง ซึ่งตั้งเป้าให้กลายเป็น 0 ภายในปี 2566”