เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 8 ตุลาคม 2559 ที่สามาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. พ.อ.ภวนวีย์ อำมาตย์นิรัน รอง ผอ.กนผ.สผอ.สส.ทหาร บก.ทท. พร้อมด้วย นายเอ นามสมมุติ อายุ 32 ปี และ นางบี นามสมมุติ อายุ 30 ปี สองสามีภรรยาชาวเวียดนาม เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย หลังจากถูกทนายความและผู้มีอิทธิพลใน จ.ฉะเชิงเทรา ขู่คุกครามจะเอาชีวิต นางบี นามสมมุติ เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับทนายความคนดังกล่าวเมื่อช่วงเดือน เมษายน 2559 ขณะที่ตนกำลังขายเกาลัดภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งทนายความคนดังกล่าวได้บอกว่าขอซื้อเกาลัดจากตน 3 กล่อง พร้อมกับถามไถ่ว่าตนมีแฟนหรือยัง ด้วยความที่อยากขายของตนจึงโกหกไปว่ายังไม่มีแฟน ทนายความคนดังกล่าวจึงได้ขอเบอร์ตนไว้โดยอ้างว่ามีลูกน้อง และคนสนิทเยอะเผื่อจะซื้อไปฝากจะได้ติดต่อได้ง่ายๆ หลังจากนั้นได้เจอกับทนายความคนนี้อีกหลายครั้งที่ร้านเดิม โดยทนายจะเหมาเกาลัดทั้งหมดและให้ตนค่อยแกะเกาลัดคอยเสิร์ฟเครื่องดื่มให้จนกว่าทนายความคนดังกล่าวจะกลับ โดยทุกครั้งที่มีการพูดคุยจะแสดงตนว่าเป็นผู้มีอำนาจ สามารถช่วยเหลือหรือจะจับกุมชาวเวียดนามคนไหนก็ได้ และได้มีการพูดจาข่มขู่หากหญิงชาวเวียดนามไม่ยอมทำตามใจ หรือไม่ยอมมาขายของให้ ซึ่งตนก็รู้ว่าทนายความคนดังกล่าวนั้นชอบตนและพยายามหลีกเลี่ยง ต่อมาตนได้บอกกับทนายความคู่กรณีว่าตนมีสามีแล้ว อยู่ที่ประเทศเวียดนาม แต่ทนายคนดังกล่าวได้ไปสืบจนรู้ว่าสามีตนทำงานอยู่อยู่ที่ประเทศไทย จึงข่มขู่ว่าจะจับญาติและสามีตนหากไม่ยอมทำตัวดีๆและตามใจ นอกจากนี้ยังพยายามชวนตนไปเที่ยว และซื้อของให้ แต่ตนก็ไปเพราะด้วยความเกรงใจ และกลัวว่าจะถูกจับ แต่พอพักหลังตนพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมทำตามที่ทนายคนดังกล่าวต้องการ ญาติพี่น้องของตนเองก็ถูกจับ จนกระทั่งเมื่อ 28 มิถุนายน59 สามีตนถูกจับกุมจากการที่ทนายคนดังกล่าวทำหนังสือและแจ้งให้กับแรงงานจังหวัดมาจับกุม และได้ประกันตัวโดยใช้เงินสดที่ต้องหายืมมาจากคนเวียดนามด้วยกัน และหลังจากการจับกุมครั้งแรก ตนได้เจอกับทนายความอีกครั้ง โดยทนายความได้พูดในทำนองที่ว่าหากตนไม่ยอมตามใจจะแจ้งจับสามีตนอีกครั้ง ซึ้งในครั้งที่ 2 นี้จะไม่สามรถประกันตัวได้ และต้องติดคุกและอาจจะถูกทำร้ายในคุก หลังจากนั้นในวันที 21 กรกฎาคม 2559 ทนายคนดังกล่าวได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังรอง ผอ.กอ.รมน. ฝ่ายทหาร โดยกล่าวหาว่านายเอ (นามสมมุติ ร่วมกับ นาย น้อย ชายชาวเวียดนามอีกหนึ่งคนซึ่ง เป็นผู้มีอิทธิพล เป็นพวกค้ามนุษย์ และเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งที่จริงนายเอ (นามสมมุติ) เป็นแค่เด็กโบกรถในร้านอาหารแห่งหนึ่งเท่านั้น จนต่อมาในวันที่ 11 สิงหาคม 2559 นายเอ (นามสมมิติ) ได้ถูกชุดปฏิบัติการพิเศษของจังหวัดฉะเชิงเทรา เข้าจับกุมเป็นครั้งที่สอง และไม่สามารถประกันตัวได้ จึงได้ร้องขอให้ พ.อ.ภวนวีย์ เข้าช่วยเหลือ พ.อ.ภวนวีย์ กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 12 สิงหาคม 2559 ตนได้รับโทรศัพท์จากน้องที่รู้จักให้ช่วยเหลือประกันตัว นายเอ(นามสมมุติ) ซึ่งถูกจับกุมโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการทำหนังสื่อร้องเรียนของทนายความคนหนึ่งในจ.ฉะเชิงเทรา เมื่อตนทราบเรื่อง ในวันที่ 13 สิงหาคม 2559 จึงได้เดินทางไปประกันตัวนายเอ (นามสมมุติ) โดยขอร้องต่อศาลให้อนุญาตประกันตัว เพราะด้วยเป็นเรื่องราวที่มีสาเหตุที่เกิดมาจากการถูกกลั่นแกล้ง และได้นำตัวชาวเวียดนามทั้งสองคนมาพักอาศัยอยู่ด้วยในกรุงเทพฯ เพราะไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในฉะเชิงเทราได้ เพราะเกรงว่าจะถูกทนายคนดังกล่าวที่มีพักพวก และมีอิทธิพลข่มขู่ไว้ พ.อ.ภวนวีย์ กล่าวต่อว่า นาง บี(นามสมมุติ)ได้มีการอัดคลิปเสียงที่มีการสนทนากับทนายความคนดังกล่าวไว้จำนวน 2 คลิป และตนได้อัฟคลิปดังกล่าวลงยูทูป ต่อมได้มีนายทหารยศใหญ่โทรมาขอให้ตนลบคลิปดังกล่าวออก แต่ตนไม่ยอมลบ เพราะว่าหากพิจารณาถึงความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ขึ้นจะเห็นได้ว่าสาวชาวเวียดนามที่มาอาศัยทำงานในประเทสไทยแต่กลับถูกผู้ที่มีความรู้มีอำนาจ มีจรรยาบรรณใช้ความรู้ในทางที่ผิด ใช้อำนาจให้ได้มาซึ่งสื่งที่ตนตั้งการ ทั้งที่มันเป็นเรื่องผิดศีลธรรม เอารัดเอาเปรียบ และคุกครามสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ จึงอยากขอความเป็นธรรม เพียงแค่ต้องการให้สองสามีภรรยาคู่นี้ได้กลับบ้านอย่างถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัย ด้านนายไพโรจน์ กล่าวว่าในเรื่องนี้ตนจะมอบหมายให้กับทนายความประจำสมาคมดำเนินการยื่นเรื่องให้กับสภาทนายความแห่งประเทศไทย ให้เข้าตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงาน รวมไปถึงจรรยาบรรณในการทำงานของทนายคนดังกล่าว เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย