มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และธนาคารโลกร่วมกันจัดงานสัมมนาเรื่อง “การวิเคราะห์รายได้ในชนบท-โอกาสและความท้าทายของเกษตรกร” เพื่อนำเสนอผลการศึกษาจากรายงาน “การวิเคราะห์รายได้ในชนบทของ ประเทศไทย” ซึ่งเป็นความพยายามร่วมกันในการหาแนวทางเพื่อยกระดับรายได้ให้กับครัวเรือนเกษตรในชนบทแก้ปัญหาความยากจน โดย ผศ.ดร.นุชนาถ มั่งคั่ง รองอธิการบดีฝ่ายการเงินและทรัพย์สิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้เกียรติกล่าวต้อนรับคณะจากธนาคารโลก วิทยากร และผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ และ ดร.ลาส์ โมลเลอร์ ผู้จัดการด้านเศรษฐกิจมหภาค การค้า และการลงทุน ธนาคารโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน โดยผู้เขียนรายงานฉบับนี้ประกอบด้วย รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.นาเดีย เบลฮาจ ฮาสซิน เบลกิท แผนกความยากจนและความเสมอภาค กลุ่มธนาคารโลก ดร.เม็กบิบ ไฮลิ นักเศรษฐศาสตร์เกษตร กลุ่มธนาคารโลก ณ ห้อง 5205 อาคารปฏิบัติการ ชั้น 2 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ผ่านระบบออนไลน์

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ที่นำเสนอในงานโดย ดร.นาเดีย เบลฮาจ ฮาสซิน เบลกิท และ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช ได้ทำการประเมินและระบุโอกาสและอุปสรรคในการเติบโตของรายได้ครัวเรือนเกษตรในชนบท และนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายที่ที่จะช่วยให้ครัวเรือนเกษตรในชนบทสามารถเอาชนะข้อจำกัดและใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเติบโตของรายได้ที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพ โดยรายงานฉบับนี้ได้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อยกระดับรายได้ของครัวเรือนเกษตรในชนบทดังนี้

1. มาตรการยกระดับผลิตภาพทางการเกษตร ซึ่งสามารถทำได้อย่างน้อย 4 มาตรการย่อยดังนี้

1.1 ขยายการเข้าถึงระบบชลประทานและแหล่งน้ำทางการเกษตรให้กับครัวเรือนเกษตรในพื้นที่นาน้ำฝนและส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ

1.2 ส่งเสริมกลยุทธ์ลดความเสี่ยงเพื่อรับมือกับความผันผวนของสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้นของครัวเรือนเกษตรกร โดยกลยุทธ์ลดความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนสามารถช่วยลดความผันผวนและการสูญเสียรายได้ของครัวเรือนได้ และควรสนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบจัดการความเสี่ยง (โดยเฉพาะระบบเตือนภัยล่วงหน้า) และนำการประกันพืชผลที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมาปรับใช้

1.3 อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของครัวเรือนเกษตรในชนบท ซึ่งสามารถขยายโอกาสให้เกษตรกรสามารถลงทุนในการใช้ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น การใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ​​และการใช้เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอื่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งผลผลิตทางการเกษตรและรายได้ของเกษตรกร

1.4 เพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาทางการเกษตร เพื่อหาแนวทางในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก และเพื่อปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับการขยายการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนซึ่งสามารถช่วยพัฒนาพันธุ์และเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมกับสภาพของประเทศได้

2. มาตรการสนับสนุนการเข้าถึงตลาดของครัวเรือนเกษตรในชนบท ซึ่งมี 2 มาตรการย่อย ดังนี้

2.1 ขยายโครงสร้างพื้นฐานในชนบทเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรและตลาดซึ่งจะทำให้ครัวเรือนเกษตรมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากราคาขายที่เพิ่มขึ้น

2.2 สนับสนุนการพัฒนาอีคอมเมิร์ซเพื่อจับคู่ผู้ผลิตและผู้ซื้อ ซึ่งจะทำให้สร้างโอกาสใหม่ในการหารายได้ โดยมูลค่าของอีคอมเมิร์ซสามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยการพัฒนาดิจิทัลแอปพลิเคชันที่รวบรวมขั้นตอนการแปรรูปและการกระจายของห่วงโซ่อุปทานอาหาร ซึ่งจะช่วยลดลดต้นทุนการทำธุรกรรมให้ดียิ่งขึ้น

3. การปฏิรูปนโยบายและสถาบันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและผลิตภาพ ซึ่งสามารถทำได้อย่างน้อย 3 มาตรการย่อย ดังนี้

3.1 ควรทบทวนนโยบายหรือกฎหมายที่ทำให้ที่ดินทางการเกษตรขาดกรรมสิทธิ์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ความหลากหลายทางพืชผล และการตัดสินใจของเกษตรกรในการใช้เทคโนโลยีใหม่

3.2 ควรออกแบบแผนการกำหนดราคาน้ำที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความเครียดจากน้ำเพื่อลดการใช้น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ โดยในระยะสั้นแนวทางหนึ่งคือการจัดตั้งระเบียบที่อนุญาตให้กลุ่มผู้ใช้น้ำเก็บค่าธรรมเนียมการใช้น้ำเพื่อรักษาคลองชลประทาน

3.3 ควรทบทวนการใช้นโยบายช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่าไปสู่นโยบายช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข งานวิจัยพบว่า การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรแบบไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ช่วยเพิ่มผลิตภาพการผลิตและยังเพิ่มความเสี่ยงในการผลิตในอนาคตอีกด้วย

4. มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะของเกษตรกร ซึ่งสามารถทำได้อย่างน้อย 3 มาตรการย่อย ดังนี้

4.1 เสริมสร้างความรู้และความสามารถของเกษตรกร โดยการสร้างทักษะของเกษตรกรสามารถทำได้ด้วยแนวทางต่างๆ ซึ่งรวมถึงบริการส่งเสริม การฝึกอาชีพ และโครงการพัฒนาทักษะ เกษตรกรสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับการจัดการปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เมล็ดพันธุ์และปุ๋ยที่ได้รับการปรับปรุง รวมทั้งได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ​​ซึ่งอาจช่วยเพิ่มอัตราการรับนำมาปรับใช้

4.2 ส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลและเสริมความแข็งแกร่งในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการทำเกษตรสามารถช่วยยกระดับผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่และเพิ่มรายได้ของครัวเรือนเกษตร โดยเทคโนโลยีดิจิทัลก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย เช่น สามารถเป็นแพลตฟอร์มสำหรับเศรษฐกิจแบ่งปันซึ่งจะทำให้ครัวเรือนเกษตรสามารถเข้าถึงเครื่องจักรกลสมัยใหม่ที่มีราคาแพงได้ สามารถเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอีคอมเมิร์ซที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงตลาดปัจจัยการผลิตและตลาดผลผลิตได้กว้างขึ้น

4.3 ใช้ประโยชน์จากสถาบันเกษตรกรที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทางสังคมเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การวิเคราะห์ในรายงานนี้พบว่า เกษตรกรที่เป็นสมาชิกของสถาบันการเกษตร (เช่น สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร) มีแนวโน้มปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอุปกรณ์การเกษตรสมัยใหม่

นอกจากการนำเสนอรายงาน “การวิเคราะห์รายได้ในชนบทของประเทศไทย” แล้ว ในงานยังได้จัดให้มีการเสวนาในหัวข้อ เรื่อง “ความท้าทายของครัวเรือนในชนบทและหนทางสู่การลดความยากจน” ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมาช่วยกันแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทั้งจากภาครัฐ (คุณเบญจวรรณ ศิริโพธิ์ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) นักวิชาการ (รศ.สมพร อิศวิลานนท์ สถาบันคลังสมองแห่งชาติ) และตัวแทนเกษตรกรคนรุ่นใหม่ (คุณวุฒิชัย คุณเจตน์ นายกสมาคมทุเรียนไทยจังหวัดจันทบุรี) และยังมีคุณพิรุณชัย ศรีช่วย (นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ มก.) ตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่มาแสดงความเห็นด้วย