สำหรับแอนดาซ (Andaz) แบรนด์โรงแรมสุดหรูระดับโลกในเครือไฮแอท (Hyatt) เตรียมเปิดตัว แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช  รีสอร์ตไลฟ์สไตล์ริมทะเลที่น่าจับตามองแห่งใหม่ พร้อมต้อนรับนักเดินทางในไตรมาสแรกของปี 2566 นี้ ด้วยประสบการณ์การพักผ่อนภายใน รีสอร์ตไลฟ์สไตล์ ที่พัฒนาขึ้นบนที่ดินมรดกที่ โดย นายณฤทธิ์ เจียอาภา เจ้าของโรงแรม แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานการตลาดได้อย่างน่าสนใจ

เห็นโอกาสและศักยภาพของพัทยา

ซึ่งนายณฤทธิ์ เจียอาภา เจ้าของโรงแรม แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช  กล่าวว่า ได้มองเห็นโอกาสของที่ดินมรดกในเมืองพัทยา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ สอดคล้องกับการเติบโตแบบก้าวกระโดดของการท่องเที่ยวไทยหลังโควิด จึงได้ลงทุนในธุรกิจโรงแรมเป็นครั้งแรก บนที่ดินมรกดของตระกูลเจียอาภาขนาด 38 ไร่ ริมหาดตะวันรอนที่เงียบสงบและสวยงามของเมืองพัทยา ใกล้แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมและหมู่บ้านชาวประมงที่มีเสน่ห์ของบางเสร่

โดยได้มีแผนพัฒนาเป็น แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช รีสอร์ตระดับ 5 ดาว ด้วยมูลค่าประมาณ 5,300 ล้านบาท ซึ่งเตรียมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้ มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มครอบครัวไฮเอนด์เป็นหลัก ทั้งชาวไทย มากกว่า 50% รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น และนักเดินทางต่างชาติอื่น ๆ ที่มาเล่นกอล์ฟอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารสร้างยอดการเข้าพัก สูงมากกว่า 70% ตลอดทั้งปี

ยกระดับการท่องเที่ยวระดับลักชูรี่

ทั้งนี้ นายณฤทธิ์ กล่าวว่า ต้องการสร้างโรงแรมดังกล่าวขึ้นมา  เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวระดับลักชูรี่ให้กับประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเชื่อว่าหาดจอมเทียน ซึ่งเป็นหาดที่มีชื่อเสียงของพัทยา จะสามารถสร้างความแตกต่าง เป็นทางเลือกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก ได้มาค้นพบเสน่ห์ของเมืองไทยที่แตกต่างจากที่เคย พร้อมกับสร้างประสบการณ์ในท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใคร ผ่านการเน้นย้ำถึงมรดกอันมีคุณค่าของจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในขณะเดียวกันก็มอบสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยอดเยี่ยม และกิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจสำหรับแขกทุกคน ตั้งแต่คู่รัก เพื่อนฝูง ไปจนถึงครอบครัว และกลุ่มองค์กร

สำหรับ การเปิดตัว แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช   แห่งแรกในไทย ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมระดับโลกว่า นับเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมโรงแรมระดับลักชูรี่ของไทยครั้งยิ่งใหญ่ จะทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการโรงแรมหรูของนักเดินทางยุคใหม่  ที่จะพาแขกผู้เข้าพักย้อนเวลาไปพบกับความงดงามของความเป็นไทยอย่างแท้จริง ออกแบบตกแต่งโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) บริษัทสถาปัตยกรรมมากฝีมือเจ้าของรางวัลระดับประเทศมากมาย โดยยังคงรักษาบรรยากาศอันน่าหลงใหลที่ได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ต้นก้ามปูขนาดมหึมาบริเวณทางเข้า และบ้านทรงไทยเดิมที่มีอายุกว่า 70 ปี รวมถึงงานศิลปะและงานฝีมือของชุมชน ยังถูกจัดวางผสมผสานเข้ากับวัสดุงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นร่วมสมัย  

มีกลิ่นอายของความเป็นไทยท้องถิ่น  

โดย นายณฤทธิ์ กล่าวว่า แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช มีห้องพักและห้องสวีทรวมทั้งสิ้น 204 ห้อง ขนาดเริ่มต้น 50 ตารางเมตร ไปจนถึง 1,000 บาทราคาต่อคืนต่อห้องอยู่ที่ 15,000 บาท ไปจนถึง 5 แสนบาท ซึ่งแต่ละห้อง แบ่งเป็นโซนต่าง ๆ เชื่อมถึงกันด้วยสวนเขียวชอุ่ม ตกแต่งภายในด้วยกลิ่นอายของความเป็นไทยท้องถิ่น มาพร้อมห้องอาบน้ำแบบเรนชาวเวอร์ขนาดใหญ่ และระเบียงพร้อมเตียงสำหรับเอนหลัง ประกอบด้วยห้องพักหลายประเภท อาทิ ห้องติดสระลากูน ซึ่งอยู่ใกล้กับสระว่ายน้ำเพียงไม่กี่ก้าว

อีกทั้งผู้เข้าพักยังจะได้เติมเต็มประสบการณ์พักผ่อนด้วยอาหารเลิศรสถึง 6 ร้าน ได้แก่  Wok Wok ร้านอาหารไทยรสชาติต้นตำรับ La Cucina ห้องอาหารสไตล์ Trattoria แบบอิตาเลียนขนานแท้ Village Butcher ร้านสเต็กที่ปรุงเนื้อระดับพรีเมียมบนเตาถ่าน และ Fish Club ร้านอาหารทะเลสดใหม่ คัดสรรมาอย่างดี ย่างด้วยกาบมะพร้าว ฝีมือเชฟชั้นเลิศที่เลือกสรรวัตถุดิบและเครื่องเทศธรรมชาติ รวมถึงสมุนไพรท้องถิ่นที่ส่งตรงจากแปลงสวนผักปลอดสารพิษในรีสอร์ต

นอกจากนี้ยังสามารถมานั่งพักและเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มได้ที่ Teak Lounge และเรือนไทยไม้สัก 2 ชั้น ที่ถูกปรับให้เป็น เรือนน้ำชา ซึ่งมีที่นั่งทั้งโซนในร่มและกลางแจ้ง รองรับการจัดงานเลี้ยงขนาดย่อม ส่วนงานเลี้ยงขนาดใหญ่สามารถจัดได้ที่ Garden Pavilion ขนาด 300 ตารางเมตร รับแสงธรมชาติด้วยกระจกบานสูงจากพื้นจรดเพดาน พร้อมพื้นที่ส่วนหน้า ระเบียงต้อนรับภายนอก และครัวแบบเปิด

อีกทั้งยังมีความยั่งยืน ที่ถูกผสานเข้ากับการออกแบบในทุกตารางเมตร ไม่ว่าจะเป็นการดึงเอาน้ำฝนและน้ำทิ้งเข้าในระบบจัดการหมุนเวียนน้ำมาใช้รดน้ำภายในสวนของโรงแรม มีระบบไฟแสงสว่าง LED ที่ควบคุมโดยการตรวจจับการเคลื่อนไหว มีระบบเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ พร้อมทั้งนโยบายการนำพลาสติกและบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ซ้ำ รวมถึงการใช้วัสดุที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น การใช้ผลผลิตท้องถิ่นจากเกษตรกรรมยั่งยืนรวมถึงการนำอาหารทะเลที่ได้รับมาตรฐานรับรอง ASC และ MSC มาประกอบอาหาร