กรุงเทพประกันภัย ปรับเป้ารับสถานการณ์ปี 59 คาดว่าสิ้นปีจะมีเบี้ยประกันภัย 16,665ล้านบาท เติบโตร้อยละ 5 โดยการดำเนินงานในไตรมาส 4 ยังคงเน้นรักษากลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ พร้อมกับพัฒนาการบริการให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยช่วงครึ่งหลังของปี 2559 ว่า การแข่งขันในธุรกิจประกันวินาศภัยยังคงมุ่งเน้นที่ลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากเบี้ยประกันภัยจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมยังไม่เข้าสู่ระบบประกันภัยมากอย่างที่บริษัทต่างๆ คาดหวังไว้ในช่วงต้นปี จากงบประมาณภาครัฐที่ใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างพื้นฐานในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก รวมทั้งอัตราเบี้ยประกันภัยต่อในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยทรัพย์สินไม่สามารถเติบโตได้ โดยรูปแบบการแข่งขันของบริษัทประกันภัยในช่วงครึ่งปีหลังสามารถสรุปได้ ดังนี้ การใช้กลยุทธ์ราคาอย่างเข้มข้น โดยออกเบี้ยประกันภัย Single Rate และเบี้ยประกันภัย Campaign ต่างๆ ซึ่งครอบคลุมรถยนต์หลายยี่ห้อและหลายรุ่น การเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยการ Segmentation กลุ่มลูกค้า ที่มีระดับความเสี่ยงหรือความต้องการความคุ้มครองที่ใกล้เคียงกัน เพื่อออกแบบกรมธรรม์หรือเสนอ Package ความคุ้มครองที่เฉพาะเจาะจงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนั้นๆ เช่น ระยะเวลาในการใช้งานรถยนต์มาก - น้อยอายุผู้เอาประกันภัยที่มีความเสี่ยงสูง - ต่ำ ที่แตกต่างกันระดับความต้องการความคุ้มครองแต่ละประเภทแตกต่างกันความพยายามในการรักษาอัตราการต่ออายุให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาฐานลูกค้า โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีประวัติการเคลมที่ดี รวมถึงการขยายระยะเวลาการให้สิทธิ์ การซ่อมห้างในระยะเวลานานขึ้นการที่บริษัทประกันภัยต่างๆ เร่งพัฒนาระบบ Application ผ่าน Smart Phone เพื่อการให้บริการด้านประกันภัยรถยนต์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนของการตัดสินใจซื้อประกันภัย การแจ้งเคลม การให้บริการสินไหมทดแทน และการอำนวยความสะดวกด้านบริการเสริมต่างๆ เช่น การให้บริการรถยกฟรี การนำรถเข้าอู่ซ่อม เป็นต้น ทั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งปี 2559 สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้คาดการณ์ว่า จะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าที่เคยคาดไว้ จากร้อยละ 2.2 โดยจะสามารถเติบโตได้สูงถึงร้อยละ 3.0 - 3.5 ด้าน ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เผยถึงทิศทางการดำเนินงานของกรุงเทพประกันภัยในปี 2559 ว่า จากเดิมที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมในปี 2559 เท่ากับ 18,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณร้อยละ 13 ภายใต้ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยปี 2559 จะเติบโตดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องสู่การเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคเมกะโปรเจคส์ต่างๆ ของภาครัฐ และการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยว ที่จะเข้าช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีแรก มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,814 ล้านบาท ลดลงประมาณร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 734.7 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัย ดังนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงอ่อนแรง จากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน โดยเฉพาะจากปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศสำคัญ เช่น EU จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ทำให้การส่งออกไทยยังคงหดตัวแม้จะอยู่ในระดับที่ติดลบน้อยลงก็ตาม การแข่งขันอย่างรุนแรงด้านราคาของประกันภัยรถยนต์ เป็นผลจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2559 ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่เท่ากับ 429,265 คัน ลดลงร้อยละ 0.16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (โตโยต้า มอเตอร์ คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ใหม่ในปี 2559 จะหดตัวร้อยละ 7.5 หรือขายได้ประมาณ 7.4 แสนคัน) ประกอบกับผู้บริโภคระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่ายในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ ทำให้เบี้ยประกันภัยเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาตัดสินใจซื้อประกันภัยรถยนต์ ซึ่งทำให้ตลาดประกันภัยรถยนต์ยิ่งมีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดประกันภัยรถยนต์ 2+ และ 3+ ประกันภัยทรัพย์สิน เช่น Fire และ IAR มีภาวะการแข่งขันที่รุนแรงเช่นกัน โดยบริษัทประกันภัยต่างเสนอลดเบี้ยประกันภัยเพื่อจูงใจลูกค้า อีกทั้งการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ยังคงเป็นไปด้วยความเข้มงวด โครงการเมกะโปรเจคส์ยังชะลอตัว ส่งผลให้งาน Engineering ไม่เป็นไปตามเป้าหมายการให้ความสำคัญต่อการพิจารณารับประกันภัยงานที่มี Risk ดี เพื่อให้เกิดผลดำเนินงานที่ดี ซึ่งหากพบว่างานใดภัยไม่ดี มีความเสี่ยงสูง มี Loss สูง บริษัทฯ จะมีการปรับเบี้ยประกันภัยเพื่อให้เหมาะสมกับต้นทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น บริษัทฯ จึงได้พิจารณาปรับลดเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับ โดยคาดว่าสิ้นปี 2559 จะมีเบี้ยประกันภัย 16,665 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 5.0 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ยังคงรักษาระดับอัตราการทำกำไร โดยเน้นการพิจารณารับประกันภัยในงานที่ดี มีความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบการทำงาน ทั้งด้านรับประกันภัยและงานสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยให้การทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนด้านกำไร บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายกำไรจากการรับประกันภัยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10.0 สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 มีดังนี้ การให้ความสำคัญกับการขยายงานใหม่และรักษาฐานงานต่ออายุให้ได้มากที่สุด โดยเน้นการจัดทำ Risk Survey อย่างเข้มงวด และรับประกันภัยเฉพาะงานที่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และมีโอกาสสร้างผลการดำเนินงานที่ดีการขยายสาขาเพื่อให้บริการที่ครอบคลุมและอำนวยความสะดวกแก่กลุ่มลูกค้าและคู่ค้าทั่วประเทศ รวมทั้งขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยที่ผ่านมาได้ขยายธุรกิจไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการเปิดบริษัท กรุงเทพประกันภัย (ลาว) จำกัด ณ กรุงเวียงจันทน์ การแข่งขันเฉพาะ Segment ที่วิเคราะห์แล้วเห็นว่ายังสามารถสร้างกำไรได้ เช่น รถ SUV หรือรถที่ใช้งานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ การสนับสนุนโครงการภาครัฐด้านการประกันภัยทางการเกษตร เช่น โครงการข้าวนาปีการให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการและสอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค ตามแนวคิด Lifestyle Insurance Provider โดยในไตรมาส 4 บริษัทฯ มีการดำเนินการ ดังนี้ ร่วมมือกับพันธมิตรออกกรมธรรม์สำหรับคนวัยทำงานทั้งที่อยู่ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ คือ “ประกันภูมิภาค” ซึ่งจะให้วงเงินคุ้มครองเพิ่มมากเป็นพิเศษ กรณีถูกสัตว์ทำร้าย ซึ่งเป็นภัยที่เกษตรกรมัก ประสบบ่อยครั้ง และกรณีได้รับอุบัติเหตุจากเครื่องจักรขณะทำงาน ซึ่งเป็นความเสี่ยงภัยของบุคคลที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมและช่างฝีมือสนับสนุนการให้บริการแบบ Service Excellence ได้แก่BKI iCare Application แอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือที่อำนวยความสะดวกทั้งด้านการทำประกันภัย การตรวจสภาพรถ การแจ้งเคลม การชำระเงิน และการติดต่อเรื่องอื่นๆTele Photo Claims ซึ่งเป็นการติดต่อรับส่งเรื่องการเคลมสินไหมทดแทนรถยนต์และภาพถ่ายผ่านแอปพลิเคชั่น Line หรือช่องทางอื่นๆ ที่ลูกค้าสะดวก e-Policy บริการกรมธรรม์ประกันภัยอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดส่งในรูปแบบซอฟต์ไฟล์ให้แก่ลูกค้าเพื่อความสะดวกรวดเร็ว และช่วยลดโลกร้อน นอกจากนี้ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พัฒนาต่อยอดโครงการ BKI Telematics โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้า ได้แก่ ส่วนลดตามระยะทางที่ขับขี่ สูงสุดถึง 20% ภายใต้โครงการ Pay As You Drive (PAYD) “ขับน้อย คุ้มมาก” เป็นส่วนลดพิเศษที่มอบให้กับลูกค้าที่ทำประกันภัย BKI Telematics ซึ่งจะคำนวณจากระยะทางการขับขี่ของลูกค้าในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนลดตามระยะทางจะขึ้นอยู่กับระยะทางการขับขี่รวมตลอดปีกรมธรรม์จากการเก็บข้อมูลของอุปกรณ์ BKI telematics ที่ลูกค้าได้ทำการติดตั้งเมื่อต้นปีกรมธรรม์ ซึ่งลูกค้ามีโอกาสที่จะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 20% ของเบี้ยประกันภัยต่ออายุเพิ่มเติมจากส่วนลดอื่นๆ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ รวมทั้งในอนาคต บริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาและพัฒนาโครงการ Pay How You Drive (PHYD) จากการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมการขับขี่และความเสี่ยงภัยจากช่วงเวลาการใช้รถ เช่น ช่วงเวลาการขับขี่ในชั่วโมงเร่งด่วน การขับรถในเวลากลางคืน การเบรคกะทันหัน การเลี้ยวกะทันหัน ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกประมวลผลออกมาเป็นคะแนนความปลอดภัยเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่และการใช้รถให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ลูกค้าที่มีคะแนนการขับขี่ที่ดีอย่างต่อเนื่องมีโอกาสที่จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การเข้าร่วมโครงการขับดีฟรีช้อป รวมถึงส่วนลดเบี้ยประกันภัยรถยนต์เพิ่มเติมจากส่วนของส่วนลดระยะทาง (Pay As You Drive)