IHG Hotels & Resorts หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมระดับโลก ประกาศถึงการเติบโตของแบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ ในประเทศไทย ตามข้อตกลงสัญญาแฟรนไชส์ร่วมกับ Destination Group ซึ่งเป็นผู้นำด้านการบริการและร้านอาหารในประเทศไทย คือ ฮอลิเดย์ อินน์ ภูเก็ต สุรินทร์ บีช และ ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท ภูเก็ต กะรน บีช ในปี 2566 นี้  

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ทำให้พอร์ตโฟลิโอของฮอลิเดย์ อินน์ในประเทศไทย เพิ่มขึ้นเป็น 12 แห่ง เมื่อรวมโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว และโรงแรมที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดยมีโรงแรมที่พึ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ในปี 2565 ได้แก่ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท กระบี่ อ่าวนาง บีช และฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท สมุย บ่อผุด บีช 

ทั้งนี้ เสาวรินทร์ จันทร์ประกายสี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี ไอเอชจี กล่าวว่า Destination Group เป็นผู้จัดการโรงแรมแบบแฟรนไชส์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในเอเชีย โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ในการจัดหา ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพของโรงแรม การเริ่มต้นความร่วมมือในครั้งนี้บ่งบอกถึงความไว้วางใจในแบรนด์ และรูปแบบธุรกิจของ IHG ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มลูกค้าแฟรนไชส์ และพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ดังนั้นจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้สานต่อความร่วมมือต่อไปในระยะยาว สำหรับรีสอร์ทที่สวยงามเหล่านี้

“การลงนามทั้งสองฉบับนี้ เป็นการสานต่อการเติบโตของแบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ในประเทศไทย และเป็นการขยายความแข็งแกร่งของกรุ๊ปในภูเก็ต ซึ่งโรงแรมทั้งสองแห่งนี้ถือเป็นการต่อยอดที่ดีเยี่ยมสำหรับโรงแรมอีกหกแห่งที่เปิดให้บริการอยู่ก่อนหน้าของเราในภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็น InterContinental, Hotel Indigo, Holiday Inn Resort, Holiday Inn Resort, Holiday Inn Express และ Crowne Plaza ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร และการปฏิบัติการ รวมถึงประโยชน์ต่อการจัดการด้านบุคลากรทั่วทั้งพอร์ตโฟลิโอของเรา”เสาวรินทร์ กล่าว

ด้าน Gary Murray ผู้ก่อตั้ง และกรรมการบริหารของ Destination Group กล่าวว่า สุรินทร์และกะรน เป็นหนึ่งในชายหาดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในการเดินทางเพื่อมาพักผ่อน รวมไปถึงเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางกับครอบครัวเช่นกัน โดยก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภูเก็ตสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 10 ล้านคนต่อปี เราจึงมั่นใจว่าในขณะที่การเดินทางกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการกลับมาบินได้อีกครั้ง ภูเก็ตจะยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่มีผู้เดินทางมามากที่สุดในประเทศไทย

ดังนั้นการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันกับ IHG ในการนำเสนอบริการและประสบการณ์ระดับโลก โดยต้องการให้แขกผู้เข้าพักทุกคนสามารถเพลิดเพลินกับวันหยุดที่น่าประทับใจไปด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าจุดยืนของ ฮอลิเดย์ อินน์ ในฐานะหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก ในการมอบบริการที่มีมาตรฐาน พร้อมราคาที่เข้าถึงได้ให้กับแขกของเรา อีกทั้งยังเข้าได้เป็นอย่างดีกับรีสอร์ทของเรา จึงน่าจะได้รับประโยชน์จากจุดแข็งของระบบระดับโลกจาก IHG ที่จะมายกระดับคุณภาพของโรงแรมของเราให้ดียิ่งขึ้นไปพร้อมๆ กัน

โดย ฮอลิเดย์ อินน์ ภูเก็ต สุรินทร์ บีช ประกอบด้วยห้องพักจำนวน 256 ห้อง โดยตั้งอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที ห่างจากป่าตองเซ็นเตอร์ 20 นาที และห่างจากหาดสุรินทร์เพียง 150 เมตร จุดเด่นสำคัญ คือ ห้องพักสำหรับครอบครัวและห้องพักแบบสวีท พร้อมด้วยกิจกรรมมากมายสำหรับเด็ก รวมไปถึงห้องเล่นเกม (Arcade Room) โรงภาพยนตร์ ร้านไอศกรีม และร้านขายของเล่น อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น ห้องอาหารและบาร์ 3 แห่ง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สปา และคิดส์คลับอย่าง Siam Adventure Club

ส่วน ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท ภูเก็ต กะรน บีชประกอบด้วยห้องพักจำนวน 224 ห้อง โดยตั้งอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ต 60 นาที ห่างจากป่าตองเซ็นเตอร์ 20 นาที และห่างจากหาดกะรนซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักเล่นกระดานโต้คลื่นเพียง 100 เมตร อีกทั้งสามารถเดินทางไปยังร้านอาหารท้องถิ่น ร้านค้าต่างๆ และสถานที่ท่องเที่ยวยิดนิยมอย่างพระใหญ่ (Big Buddha) และตลาดกะรนไนท์มาร์เก็ตได้อย่างง่ายดาย

ขณะที่ ภายในโรงแรมประกอบด้วยห้องพักแบบสวีทสำหรับครอบครัว และห้องพักแบบสวีทที่มาพร้อมสระน้ำสำหรับแช่ตัว รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ห้องอาหารและบาร์ 5 แห่ง สระว่ายน้ำ 3 แห่ง ฟิตเนส สปา และคิดส์คลับอย่าง Siam Adventure Club

ซึ่ง ฮอลิเดย์ อินน์ ถือเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เป็นตัวกลางให้ผู้คนได้ใช้เวลาร่วมกันในช่วงเวลาที่สำคัญ ซึ่งทางแบรนด์มีโรงแรมมากกว่า 1,180 แห่งทั่วโลก และอีกกว่า 240 แห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ พร้อมข้อเสนอที่เป็นเอกลักษณ์อย่างโปรแกรม ‘Kids Stay & Eat Free’ และ ‘KidSuite’ ด้วยเหตุนี้ IHG จึงเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ด้วยโรงแรมกว่า 30 แห่ง จาก 9 แบรนด์ในประเทศ และอีก 36 แห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มอสังหาริมทรัพย์ขึ้นเป็นสองเท่าในทุกแบรนด์ในประเทศไทยภายในปี 2569