ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

“ไม่มีสิ่งปฏิกูลใดที่จะสกปรกไปกว่าจิตใจของคนเลว ๆ ที่มองทุกอย่างเป็นสิ่งสกปรก”

ย้อนไปเมื่อ 40 ปีก่อน ผมมาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งแถวบางเขน ตามประกาศแจ้งความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เมื่อมาดูพื้นที่จริง ๆ ก็เกือบจะถอดใจ เพราะเป็นหนองน้ำแฉะ ๆ มีต้นธูปฤาษีสูงท่วมหัวขึ้นอยู่เต็ม ถนนก็เป็นดินขรุขระ ไม่มีบ้านผู้คนอยู่เลยสักหลัง เลยไปจนสุดถนนดินนี้ก็เป็นชายคลอง จึงมีกระต๊อบปลูกอยู่แออัดเพราะเป็นที่ดินฟรี คนยากคนจนจึงมาอยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมาก

ผมจำต้องซื้อเพราะมีเงินเก็บจำกัด และด้วยขนาดที่ดิน 100 ตารางวาเศษ ในราคาแสนต้น ๆ ผมก็ยังมีเงินเหลือพอที่จะจ้างรถขนดินมาถมหนองน้ำนั้นทิ้งไว้ พร้อมกับโรยเมล็ดกระถินเผื่อโตขึ้นมาก็จะรู้ว่าเป็นแนวรั้ว กระทั่งผ่านไป 5 ปี ผมก็มาถางหญ้าและเอาต้นกระถินออก เพราะกำลังมีแผนที่จะปลูก “เรือนหอ” แม้ว่าว่าที่เจ้าสาวจะไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะต้องมาอยู่กลางดงหญ้าและใกล้ชุมชนชายคลองอันแออัด แต่ผมก็รับปากว่าจะทำบ้านนี้ให้น่าอยู่ ซึ่งต่อมากรุงเทพมหานครก็เอาหินมาเทและราดยางมะตอย ทำให้ดูดีขึ้น พร้อมกับมีบ้านหลังอื่น ๆ ทยอยมาปลูกอีกหลายหลัง จนดูอบอุ่นและคับคั่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตรงบ้านที่ผมอยู่ก็ยังเป็นที่ว่างอยู่ทั้งด้านข้างซ้ายขวาและด้านหลัง โดยเฉพาะตรงด้านซ้ายมือของหน้าบ้านเป็นที่ดินรูปชายธงเล็ก ๆ ขนาดสัก 10 ตารางวา ก็มีต้นโพธิ์ขนาดเล็กอยู่ต้นหนึ่ง แรก ๆ ก็มีคนเอาผ้าสามสีมาผูกพร้อมของเซ่นไหว้ในบางวัน ต่อมาก็มีคนมาปลูกเพิง พร้อมกับเอาข้าวของเครื่องใช้ตู้เตียงมาไว้จำนวนหนึ่ง มองดูเหมือนที่พักลำลอง หรือที่เก็บของชั่วคราวอะไรประมาณนั้น เพราะกลางคืนก็เห็นมีคนมานอน ทั้งยังมีไฟฟ้ากับน้ำประปาใช้อีกด้วย ทราบว่าเขาไปขอกระต๊อบที่อยู่ชายคลองหลังหนึ่งเดินสายและต่อสายยางเข้ามา โดยที่ไม่กล้ามาขอผมที่อยู่ติดกัน เนื่องจากไม่อยากมีเรื่องยุ่งยาก

ตอนนั้นผมมาปลูกบ้านได้สัก 5 ปีแล้ว พอเห็นมีคนมาปลูกเพิงอยู่ติดรั้วหน้าบ้านก็ร้อนใจ ตัดสินใจออกไปไถ่ถาม เขาก็แนะนำตัวเองว่าชื่อ “พล” หรือ “ชุมพล” เขามีกระต๊อบหลังหนึ่งอยู่ที่ชายคลอง มีเมียหนึ่งกับลูกชายและลูกสาวอีก 2 คน ซึ่งลูกก็ยังเล็กอยู่ คนโตเพิ่งเข้าโรงเรียน เขากับเมียมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ตอนที่ผมปลูกบ้าน ผู้รับเหมาก็ไปถามหาคนมาช่วยนอนเฝ้าข้าวของวัสดุก่อสร้าง ตัวเขาก็เคยมารับจ้างนอนเฝ้าอยู่ 2-3 เดือน ผมจึงถามว่าแล้วทำไมมาอยู่ตรงนี้ตอนนี้ เขาก็ตอบว่าเมื่อเดือนก่อนเขาเดินผ่านต้นโพธิ์แล้วขอหวย ปรากฏว่าถูกรางวัลได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ก็เอาไปดาวน์รถปิกอัพมือสองมาใช้รับจ้างบรรทุกสิ่งของ แต่ข้างในตรงชายคลองไม่มีที่จอด เลยมากราบขอที่ขอทางกับต้นโพธิ์ ซึ่งเขาก็ขอโทษผมที่ไม่ได้บอกกล่าว

ผมก็ถามว่าแล้วเจ้าของที่ตรงนี้เขาไม่ว่าหรือ ชุมพลก็ตอบว่าเขาไม่รู้ว่าเจ้าของที่เป็นใคร แต่ถ้าเจอเขาจะพูดคุยกันดี ๆ แต่ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาต เขาก็อาจจะต้องขยับขยายหาที่ใหม่ ตอนนี้ยังไม่คิดอะไร ซึ่งถ้าผมจะกรุณาในฐานที่มีบ้านปลูกอยู่ตรงนี้ เขาก็จะขออยู่ตรงนี้ไปก่อน ซึ่งถ้าผมจะให้ช่วยเหลือทำอะไรเขาก็ยินดี และจะไม่ทำอะไรที่เป็นการรบกวน ผมจำไม่ได้ว่าผมได้ตอบอะไรไปในวันนั้น แต่เท่าที่รู้ชุมพลกับครอบครัวก็มาอาศัยอยู่หน้าบ้านนี้อย่างสงบ และพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ในยามที่ผมวานให้ช่วยโน่นช่วยนี่อย่างเต็มที่ อย่างน้อยก็ช่วยเป็นหูเป็นตาหรือ “ยามเฝ้าบ้าน” ในเวลาที่ผมกับภรรยาออกไปทำงานหรือไปต่างจังหวัด

รถบรรทุกรับจ้างของชุมพลนั้นคงจะค้าขายเจริญรุ่งเรืองดี เพราะสังเกตเห็นว่ามีข้าวของให้ขนอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งผมเดินออกไปดูใกล้ ๆ ข้าวของเหล่านั้นมองดูเหมือนเป็นของที่ใช้แล้ว จำพวกกระดาษและพลาสติคต่าง ๆ ผมจึงไปถามชุมพลว่านี่รับจ้างใครขนมาหรือ เขาบอกว่านี่เป็นของของเขาเอง คือเขาเปลี่ยนมาเป็นรับซื้อกระดาษและพลาสติก และเอาไปขายให้โรงงานที่รับรีไซเคิล เขาบอกว่ามันดีกว่ารับจ้างขนสิ่งของต่าง ๆ ที่เคยทำมา เพราะมีกระดาษและพลาสติกมาให้ขายทุกวัน คนเก็บก็คือคนที่อยู่ตามชายคลองนี่แหละ หลายคนก็มีซาเล้งถีบออกไปหากระดาษและพลาสติดเหล่านี้มาขายให้ รวมถึงขวดและกล่องนานาชนิดก็ล้วนแต่ขายได้ รวมถึงพวกของเก่าหรือวัสดุต่าง ๆ ก็มีคนเอามาขายให้เขาเช่นกัน

ผมให้เขาระมัดระวังเรื่องการรับของโจร หรือรับซื้อของที่มีคนขโมยมาขาย เขาก็บอกว่าเรื่องนั้นเขาระวังมาก บางครั้งถ้าเขาสงสัยเขาก็ไม่ซื้อ หรือสอบถามกับตำรวจที่เข้ามาตรวจตามซอยนี้อยู่เป็นประจำ เพราะเขาเองก็ทำงานให้ตำรวจอยู่ด้วย โดยคอยแจ้งข่าวเกี่ยวกับยาเสพติด ที่ชุมชนชายคลองเป็นเป้าหมายของตำรวจที่ได้ข่าวมาว่ามีเอเย่นต์ค้าขายยาเสพติดนั้นอยู่บางคน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ไปยุ่งว่าใครค้าขาย แต่ถ้ามีเด็กวัยรุ่นที่เสพยาเขาก็จะบอกกับตำรวจให้รู้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นเข้าไปในวังวนของอันตราย ทั้งจากยาเสพติด การค้ามนุษย์ และอาชญากรรม

ผมฟังแล้วก็ทึ่งในวิธีการคิดของชุมพล ที่ไม่น่าเชื่อว่า “คนแบบเขา” จะคิดอะไรได้แบบนี้ จึงหาโอกาสแวะมาพูดคุยกับเขาอยู่บ่อย ๆ แล้วก็พบว่าเขานี้ “ไม่ธรรมดา” จริง ๆ

ชุมพลจบการศึกษาแค่ประถมเจ็ด ตามระบบการศึกษาภาคบังคับของไทยเมื่อ 40 ปีก่อนนั้น เขาเป็นเด็กต่างจังหวัด แต่ก็เป็นจังหวัดที่ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ คืออยุธยานี่เอง พ่อแม่ของเขามีลูกถึง 8 คน มีอาชีพรับจ้างทำนา พอมีกินมีใช้ประทังชีวิตไปวัน ๆ ลูกทุกคนพอโตขึ้นและเรียนจบภาคบังคับก็ต้องออกหางานทำช่วยพ่อแม่ทุกคน เขาเองขึ้นรถไฟมากับเพื่อน พอถึงที่สถานีบางเขนก็ถูกไล่ลงเพราะไม่ได้ซื้อตั๋วโดยสาร ทั้งสองคนก็ไปขอข้าวพระกินและอาศัยซุกหัวนอนที่ในวัดหลักสี่ แล้วหางานรับจ้างทำไปด้วย แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กก็หางานทำได้ยาก วันหนึ่งมีคนมาไหว้พระที่วัด บอกว่าต้องการคนไปทำไร่อ้อยที่กาญจนบุรี เขาก็ตกลงตามคนอื่น ๆ ไป แต่ก็มีชีวิตที่ยากลำบากมาก เพราะไปถึงจริง ๆ ก็ไม่ใช่ไร่อ้อย แต่เป็นกลางป่าลึก คนจ้างให้ไปตัดต้นไม้และถางรกถางพง ซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าเป็นพวกนายทุนบุกรุกยึดครองที่ดินทำกิน ด้วยการจ้างคนอย่างพวกเขามาถางป่าถางพงเหล่านั้น

เขาแอบหนีออกมาจาก “ค่ายนรก” หลังจากไปอยู่ได้เกือบ 2 ปี เพราะเขายังกลัวมากในช่วงปีแรก ๆ ต่อมาหัวหน้าคนงานได้ให้เขาติดรถมาซื้อข้าวของกับหยูกยาที่ในเมืองอยู่บางครั้ง เขาก็จดจำและถามทางที่จะไปขึ้นรถเข้ากรุงเทพฯจากแม่ค้าบางคน จนกระทั่งเขาเกิดความมั่นใจ ในครั้งต่อมาที่เข้าเมือง เขาก็หนีไปขึ้นรถมากรุงเทพฯอีกที โดยขอโดยสารรถบรรทุกผักมาลงที่บ้านโป่ง แล้วแอบขึ้นรถไฟมาลงที่บางซื่อ เขาไปเป็นกรรมกรรับจ้างขนผักอยู่ในตลาดสะพานสูงอยู่ 2-3 ปี พอมีเงินเก็บก็อยากจะหาปลูกกระต้อบ จึงตระเวนหาที่แถวชายคลอง ก็มาเจอที่ว่างพอขอแบ่งมาปลูกได้ตรงบางเขนนี้ รวมทั้งที่ได้มาเจอแฟนที่นี่ด้วย

ปีที่เขามาอยู่นั้นพอดีอายุครบบวช เขาก็เลยไปขอบวชที่วัดหลักสี่ หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้ายังมีพ่อแม่อยู่ต้องให้พ่อแม่อนุญาต แต่เขาไม่อยากกลับไปอยุธยา จึงถามว่ามีหนทางอื่นไหม หลวงพ่อบอกว่าถ้ามีเมียแล้วก็ให้เมียอนุญาตก็ได้เช่นกัน พอดีเขามีแฟนอยู่แล้ว เขาจึงขอแต่งงานกับแฟน แล้วก็ได้บวชต่อมา

ชีวิตของเขาน่าสนใจไม่น้อย ซึ่งจะได้ติดตามต่อไป ส่วนหนึ่งก็จากมุมมองและวิธีคิดของเขา ที่บอกว่าไม่มีสิ่งใดสกปรกไปกว่าจิตใจที่สกปรก และเขาก็นำชีวิตไปในแนวทางนั้นโดยตลอด