ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

ถ้าจะเรียกว่า “นักการเมือง” คือ “นักกินมนุษย์” ก็คงไม่ผิด ยิ่งเป็นนัการเมือง “ชั่ว ๆ” ก็ยิ่งจะทำได้ทุกอย่าง

ในชีวิตของผมรู้จักนักการเมืองมาหลายคน บ้างดี บ้างชั่ว ก็เป็นปกติตามแบบของปุถุชน แต่นักการเมืองคนนี้ออกไปในแนว “ชั่ว” ทั้งยังเป็นความชั่วที่น่าสงสาร เพราะทำชั่วนั้นด้วย “โลภ โกรธ และหลง” โดยแท้

พรหมมิตรเดิมชื่อมิตรเฉย ๆ เพราะแม่ออกจะคลั่งพระเอกชื่อดังแห่งยุคในยุคหลังกึ่งพุทธกาล “มิตร ชัยบัญชา” โดยหวังว่าเมื่อเด็กชายมิตรเติบโตขึ้นจะมีหน้าตาหล่อสมาร์ทเหมือนสุดยอดพระเอกคนนี้ แต่นั่นแหละก็เป็นไปอย่างคำพระท่านว่า “บุญทำกรรมแต่ง” เมื่อเด็กชายมิตรค่อย ๆ เติบโตขึ้น ความน่ารักน่าเอ็นดูที่มีเค้าว่าจะหล่อเหลาเป็นพระเอกนั้นก็ค่อย ๆ ลดลง จนเมื่อเข้าวัยรุ่นก็กลายเป็นภาพตรงข้ามอีกด้าน ไม่เพียงแต่ไม่หล่อเหลา แต่ยังขาดเสน่ห์หรือความน่ารักน่าคบหา

เด็กชายมิตรเติบโตมาในดินแดนที่ราบสูง ที่ได้ชื่อว่าแห้งแล้งกันดารและยากจน เมื่อโตพอจะช่วยงานพ่อแม่ได้ เขาก็มีหน้าที่ขี่ควายออกไปที่ทุ่งนา หน้านาก็พาไปให้พ่อผูกแอกลากไถหรือเทียมเกวียน และหน้าแล้งก็พาออกไปหาหญ้าและน้ำกินตามโคกไร่ไกล ๆ กระทั่งจบประถม ๗ ก็ได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ อาศัยอยู่กับญาติที่มีบ้านพักอยู่ด้านหลังกระทรวงอุตสาหกรรม ตรงข้ามโรงพยาบาลรามาธิบดี มีหน้าที่ช่วยญาติรดน้ำต้นไม้และทำความสะอาดบริเวณตึกต่าง ๆ แต่พอปิดเทอมก็กลับไปช่วยพ่อแม่ทำนาและเลี้ยงควายจนกระทั่งจบชั้นมัธยมต้น

เขาไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยมปลาย เพราะตามเพื่อนไปเรียนที่โรงเรียนอาชีวะ การที่ได้เป็นนักเรียนช่างกลเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมาก เพราะเหมือนจะมีชีวิตที่อิสรเสรี แต่งกายได้ตามสบาย ไว้ผมยาวได้ แถมยังกินเหล้าสูบบุหรี่ได้อย่างโก้อีกด้วย บ่อยครั้งก็ได้ไป “แสดงแสนยานุภาพ” คือยกพวกไปตีกับพวกนักเรียนมัธยมบางโรงเรียน รวมถึงนักเรียนอาชีวะด้วยกัน 2-3 แห่งที่ถือว่าเป็น “ประเพณี” คือเป็นคู่อริกันมานมนาน

ใน พ.ศ. 2522 มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ เขากลับบ้านไปในช่วงที่กำลังมีการหาเสียงพอดี ผู้สมัครคนหนึ่งต้องการจ้างนักเรียนวัยรุ่นมาช่วยงาน นอกจากจะต้องติดโปสเตอร์และป้ายหาเสียงไปทั่วเขตเลือกตั้งแล้ว ยังต้องคอย “ตีหัว” พวกที่มาฉีกทำลายป้ายและโปสเตอร์ต่าง ๆ ด้วย แม่บอกให้เขาลองไปรับจ้างดู เพราะใช้เวลาสั้น ๆ แถมยังได้ตังค์มาใช้สบาย ๆ

หลังเลือกตั้งผู้สมัครที่เขาไปรับจ้างชนะเลือกตั้ง เขาก็กลับไปเรียนต่อ เหลืออีกเพียงปีกว่า ๆ ก็จะจบ แต่ชะตาต้องเปลี่ยนผัน เมื่อมีการเลือกตั้งซ่อมในเขตกรุงเทพมหานคร ส.ส.คนที่เคยจ้างเขาในพื้นที่ได้บอกผ่านทีมเพื่อนร่วมงาน ให้มาขอให้เขาไปช่วยงานในเขตเลือกตั้งที่กรุงเทพฯนี้อีก ด้วยหน้าที่เดิม ๆ คือ “ตีหัว” พวกที่มาก่อกวนการหาเสียงและทำลายป้ายโปสเตอร์ ที่สุดหลังเลือกตั้งเขาก็ได้ไปอยู่ที่บ้านของส.ส.คนที่จ้างเขานี้ เพื่อคอยติดตามและทำงานเป็น “บอดี้การ์ด” หรือหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับ ส.ส.คนดังกล่าว

เขารับไปทำงานให้ โดยบอกกับแม่ว่าทำงานไปเรียนไป แต่ความจริงเขาออกจากโรงเรียนอาชีวะโดยที่ยังเรียนไม่จบ มันเป็นชีวิตที่ดูโก้หรู แม้จะถูกเรียกว่าเป็น “เบ๊” หรือ “เด็กถือกระเป๋า” แต่เขาก็เดินเบ่งออกไปไหนมาไหนได้อย่างเต็มที่ ด้วยนึกเอาเองว่าสายตาที่มองมายัง ส.ส.คนที่เขาทำงานให้นั้น ก็มองมาที่เขาด้วยเช่นกัน เขาได้แต่งชุดซาฟารีสีเข้ม ๆ บางทีก็มีแว่นตาดำ รวมถึงมือที่คอยตะปบอยู่ข้าง ๆ เอว เหมือนว่ามีอาวุธแอบซ่อนพกไว้ตรงนั้น ทั้งที่ความจริงไม่มีและพกปืนไปในที่สาธารณะไม่ได้ แต่ผู้คนก็มองมาที่เขาเหมือนเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง ซึ่งอาจจะไม่ใช่เพราะกลัวอาวุธที่แอบซ่อน แต่อาจจะเป็นด้วยรูปร่างหน้าตาของเขา ผิวพรรณที่ดำคล้ำหยาบกร้าน ลำตัวตัน ๆ ม่อต้อ แขนขาล่ำสัน คอหนา หน้าเหลี่ยม คางใหญ่ ตาโปน คิ้วคดดกดำ จมูกป้านแบนและเบี้ยว บางครั้งเขาเดินไปใกล้เด็ก ๆ ก็จะเกิดเสียงร้องไห้ระงม แต่เขากลับรู้สึกว่าเขานี้ก็มี “อำนาจ” พอตัวเช่นกัน

                   ความจริง ส.ส.คนที่เขาทำงานด้วย มีคนที่ทำหน้าที่ รปภ.อยู่หลายคนแล้ว ส่วนหนึ่งก็คือคนที่ ส.ส.แกจ้างมาเอง อย่างที่มีเขานี้ด้วยคนหนึ่ง เพราะ ส.ส.แกเป็นคนกว้างขวาง ออกจะมีศัตรูมาก อีกส่วนหนึ่งก็เป็น “เด็กฝาก” ที่มีผู้ใหญ่ขอให้ ส.ส.แกรับไว้ ผู้ใหญ่เหล่านี้คือทหาร และเด็กที่ฝากมาเป็น รปภ.ก็คือลูกน้องของนายทหารเหล่านั้น บางคนก็เป็นทหารที่ยังประจำการอยู่ บางคนก็ปลดประจำการแล้ว เด็กฝากของทหารนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก พวก ส.ส.ทั้งที่เป็นฝ่ายค้านและรัฐบาลต้อง “จำใจ” รับเอาทหารทั้งในและนอกราชการเหล่านี้เข้ามาทำงาน บางทีก็ไม่เคยมาปรากฏตัวหรือติดตามนายจ้างเลย ส่วนใหญ่ก็มาเจอตอนรับเงินเดือน แต่ที่น่าเกลียดไปกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่ามีตัวตนหรือไม่ แต่ ส.ส.หลายคนต้องโอนเงินให้นายทหารที่ฝากคนเหล่านั้นมาทำงานอยู่โดยตลอดทุกเดือน ส.ส.บางคนต้องรับผิดชอบถึง 3-4 คน นัยว่าเป็นเรื่องของสวัสดิการที่นายทหารเหล่านั้นต้องดูแลกำลังพล แต่ความจริงน่าจะเป็น “เงินกินเปล่า” เสียมากกว่า

                   นี่คือสภาพ “รัฐทหาร” ที่ปกครองการเมืองไทยเข้าไปในทุกรูขุมขน ไม่เว้นแม้กระทั่งจัดตั้ง “รปภ.เทียม” มาอาศัยทำมาหากินกับนักการเมือง

                   มิตรมีฉายาในหมู่คนที่ทำงานเป็น รปภ.ให้นักการเมืองด้วยกันว่า “ดำสูงเนิน” คงด้วยความที่เขาเกิดและเติบโตมาจากอำเภอสูงเนิน รวมกันกับรูปร่างหน้าตาที่สื่อถึงชื่อดังกล่าว แต่ถ้าใครมาขอดูบัตรประชาชนเขาที่ทำใหม่ ก็จะได้พบกับชื่อใหม่ของเขาว่า “พรหมมิตร” ซึ่งมิตรชื่นชอบคำว่า “พรหม” นี้มาโดยตลอด เพราะเขาเชื่อว่าเขาสามารถเป็นพรหมที่ “ลิขิต” หรือกำหนดเส้นทางชีวิตต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง และยิ่งเขาได้มาทำงานกับนักการเมืองที่มีอิทธิพล ก็ยิ่งดูเหมือนว่าเขาเองก็มีอิทธิพลมาก ๆ ตามไปด้วย เขาเลยเชื่อว่า นี่แหละชีวิตของเขาที่พระพรหมท่านลิขิตมาให้ เมื่อเปลี่ยนชื่อใหม่จีงเปลี่ยนเป็น “พรหมมิตร” ดังกล่าว

                   ส.ส.คนที่พรหมมิตรทำงานด้วยมีตำแหน่งเป็นเลขานุการของรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง อาจจะด้วยความที่เป็น ส.ส.อาวุโส ได้เป็น ส.ส.มาแล้ว 2 สมัย รวมถึงที่เป็นผู้มีบารมีอยู่ในท้องถิ่น ทำให้เป็นที่เกรงใจ ส.ส.ในพรรคคนอื่น ๆ เมื่อพรหมมิตรเป็นผู้ติดตาม ส.ส.คนนี้ ก็ทำให้เขาเป็น “เด็กนาย” ที่พวกคนติดตาม ส.ส.คนอื่น ๆ ก็ต้องให้ความเคารพยำเกรงด้วย แม้ว่าด้วยอายุของเขาจะเพียงแค่ยี่สิบเศษ ๆ แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่มีใครทายอายุได้ถูก เขาจึงได้รับการนับถือว่าเป็น “พี่ใหญ่” ของเหล่าผู้ติดตาม และถือด้วยอีกว่าเป็น “รปภ.มือฉมัง” ในระดับต้น ๆ

                   พรหมมิตรเรียนรู้ “เหลี่ยมคม” ทางการเมืองต่าง ๆ จากคนหลายคนและหลายทิศทาง เสียแต่ว่าเหลี่ยมคมเหล่านั้นเป็นความเชี่ยวชาญที่ชักนำไปในทางชั่วร้าย อย่างที่เรียกว่า “วิชามาร” แทบทั้งสิ้น เขาเรียนรู้และซึมซับมันเข้ามาทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่กระนั้นมันก็ได้บดบังและทำลายความเป็นมนุษย์ในตัวเขาไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่เขามาเป็นนักการเมืองและมีอำนาจด้วยตนเอง

                   แน่นอนว่าพรหมแท้ ๆ คงไม่ได้ลิขิตให้เขาเป็นเช่นนั้น และเขาเป็นคนชั่วด้วยตัวของเขาเอง

*******************************