นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  กล่าวถึง งาน Arabian Travel Market (ATM) 2023 ที่ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า เป็นงานส่งเสริมการขายด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก หวังเจาะกลุ่มลูกค้าตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่สุดตลาดหนี่งของประเทศไทย ทั้งทางรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีการใช้จ่ายสูงและมีโอกาสในการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่ม Health & Wellness และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อม (Sustainable Travel)

ซึ่งประเทศไทยพร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความหมาย (Meaningful Travel) ด้วย Soft Power ของไทย ทั้ง 5F : Food Fight Fashion Film และ Festival ที่จะสร้างความทรงจำและความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม โดย ททท. ได้ตั้งเป้าหมาย Sustainable Tourism Goals (STGs) ซึ่งต่อยอดจากแนวคิด 17 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อเร่ง Shape Supply และยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยใน 4 มิติ ได้แก่ การบริหารจัดการ เศรษฐกิจและสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม สู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่ High Value และ Sustainable อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ในปี 2565 นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจำนวน 314,882 คน โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศซาอุดีอาระเบียประมาณ 100,000 คน และจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประมาณ 66,000 คน โดยนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางถือเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวสูงและระยะเวลาวันพักเฉลี่ยยาวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในปี 2562 นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 220 ดอลลาร์สหรัฐ และมีวันพักค้างเฉลี่ย 11.14 วัน