สำหรับไมเนอร์ โฮเทลส์ ในเวลานี้ ถือได้ว่า เป็นเชนโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนห้องพักรวมกว่า 76,000 ห้อง โดยโรงแรมในประเทศไทยสร้างรายได้สัดส่วน 16% ขณะที่ในต่างประเทศครองสัดส่วนรายได้กว่า 84% ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ได้แก่ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช โฮเทลส์, นาว, เอเลวาน่า และแบรนด์อื่นๆ ที่ว่าจ้างให้เชนโรงแรมอื่นมาบริหาร เช่น แมริออท, โฟร์ซีซันส์, เซ็นต์ รีจิส และ เรดิสัน บลู เป็นต้น โดยมีจำนวนโรงแรมที่ไมเนอร์ฯ เป็นเจ้าของลงทุนเอง 25% โดย นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และไมเนอร์ โฮเทลส์ ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งในรูปแบบเจ้าของ ผู้บริหาร และผู้ร่วมลงทุน ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานทางธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ

เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และไมเนอร์ โฮเทลส์ ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งในรูปแบบเจ้าของ ผู้บริหาร และผู้ร่วมลงทุน กล่าวว่า ทางไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องหลังจากผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 โดยตั้งเป้าปี 2566-2568 จะเปิดโรงแรมใหม่กว่า 65 แห่งทั่วโลก คิดเป็นจำนวนห้องพักมากกว่า 13,000 ห้องพัก แบ่งเป็นโรงแรมที่ไมเนอร์ฯ เป็นเจ้าของลงทุนเอง 7 แห่ง และรับบริหาร 58 แห่ง โดย 3 ประเทศใหม่ที่เข้าไปปักธงรับบริหารเพิ่มคือ ประเทศอียิปต์ เปรู และบาห์เรน ซึ่งตามแผนรุกขยายธุรกิจโรงแรมดังกล่าว จะทำให้ภายในปี 2568 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีจำนวนโรงแรมรวมไม่น้อยกว่า 595 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักประมาณ 90,000 ห้องพัก กระจายอยู่ใน 59 ประเทศทั่วโลก

ซึ่ง นายดิลิป กล่าวต่อว่า  ไมเนอร์ โฮเทลส์ จะดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Asset Right เน้นรักษาสมดุลการเพิ่มรายได้และการทำกำไร ระหว่างรายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ลงทุนเอง (Asset Heavy) และรายได้จากการรับบริหารโรงแรม (Asset Light) โดยหนึ่งในแผนดังกล่าวคือ การนำแบรนด์ที่โดดเด่นจากแต่ละพื้นที่ไปเติบโตในตลาดใหม่ ๆ เช่น นำแบรนด์โรงแรมเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งมีชื่อเสียงและโด่งดังในยุโรป ให้มาเติบโตในเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน นำแบรนด์โรงแรมอนันตรา เป็นแบรนด์ดั้งเดิมของเครือไมเนอร์ที่มีชื่อเสียงในเอเชีย ไปบุกตลาดยุโรป เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ยังรักษาระดับรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า อัตราการเข้าพักอยู่ที่ 71% รายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) อยู่ที่ 8,353 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด-19 ที่อยู่ประมาณ 14% ส่วนรายได้ห้องพักเฉลี่ยของห้องพักที่เปิดขายทั้งหมด (RevPAR) อยู่ที่ 5,903 บาท ต่ำกว่าไตรมาส 1 ปี 2562 เพียง 1%

ร่วมมือพันธมิตรในพื้นที่เป้าหมาย

นอกจากนี้ นายดิลิป ยังกล่าวต่อว่า  ไมเนอร์ฯยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยได้ร่วมทุนกับกลุ่มฟันยาร์ด ขยายโรงแรมในเครือไมเนอร์ สู่ตลาดจีน เพื่อขยายโรงแรมในประเทศจีนให้ได้ประมาณ 100 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า หลังเปิดให้บริการแล้ว 8-9 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 30 แห่ง โดยตั้งเป้าโปรโมทการรับรู้แก่นักท่องเที่ยวจีนเป็นวงกว้าง  

อีกทั้งยังร่วมทุนกับ ADFD (Abu Dhabi Fund For Development) ในการขยายโรงแรมหลายแห่ง และล่าสุดเครือไมเนอร์ได้ประกาศลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ กองทุนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว (Tourism Development Fund - TDF) ของประเทศซาอุดีอาระเบีย ในการพัฒนาโครงการโรงแรมและไลฟ์สไตล์ชั้นนำ โดยจะมีการพัฒนาโครงการโรงแรมและรีสอร์ตภายใต้แบรนด์หลักของเครือไมเนอร์ ได้แก่ อนันตรา อวานี ทิโวลี และ โอ๊คส์ ในหลายเมืองของซาอุดีอาระเบียในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะเปิดตัวโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือนี้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

รวมถึงทาง ไมเนอร์ โฮเทลส์ยังเข้าซื้อกิจการ The Wolseley Hospitality Group ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารชั้นนำในลอนดอน มูลค่า 74 ล้านปอนด์ และได้นำร้าน Cafe Wolseley เปิดตัวในประเทศไทยเป็นแห่งแรก และในอนาคตเตรียมขยายร้านในเครือไปยังนิวยอร์ก ดูไบ เซี่ยงไฮ้ อีกด้วย