นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "รับมือ!!" เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2566 ระบุว่า... พรรคเพื่อไทยส่ออาการถอยแจกเงินหมื่นดิจิทัล เพราะไม่กล้าแถลงมาตรการที่แสดงถึงจุดเริ่มต้นการแจกเงิน 5.6 แสนล้านบาทให้คนไทยตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป แต่สิ่งที่ทำกลับได้ยินแต่ราคาคุยให้เคลิ้มอยู่รอวันจะดำเนินการ

นายจตุพร กล่าวว่า ท้ายที่สุดพรรคเพื่อไทยก็ขยายเวลาการแจกและใช้เงินออกไปเรื่อยๆ ซึ่งบางเรื่องเวลาจะถอยของเพื่อไทยมักเป็นแบบไม่มีปี่ขลุ่ยเลย โดยเห็นตั้งแต่การแก้ รธน. เพียงได้สัญญาณโทรศัพย์จากคนหนึ่งในองค์กรอิสระ ก็สั่งให้หัวหน้าพรรคลาออกทั้งรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย แล้วยกสิ่งของเครื่องใช้ออกจากห้องทำงานขณะที่หัวหน้าพรรคไม่อยู่

รวมทั้ง กล่าวว่า จึงไม่ข้องใจกับกรณีเงินดิจิทัลเลยว่ามีแถลงให้สาธารณะรับรู้ในเรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นทางการนั้นยากมาก และอาจกลัวอะไรที่คาดไม่ถึงจะโผล่ขึ้นตามลำดับ เพราะความสุจริตที่จะใช้เป็นเกราะกำบัง ยิ่งพรรคเพื่อไทยพยายามจะพูดนั้น หากพิสูจน์ได้ว่า ไม่สุจริตแล้ว พร้อมทั้งถ้าสังคมพิสูจน์ว่า ทำเอาเองไม่ได้ทำให้ประชาชนจริงตามที่อ้าง จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่โตมโหฬาร

"การถอย (ดิจิทัล) จะเห็นตั้งแต่การประชุม เพราะเมื่อประชุมแล้วแถลงข่าวจะมัดตัวเพื่อไทยเลย ที่บอกว่าจะนำเข้า ครม. 24 ต.ค. นี้ ผมเข้าใจว่า คงจะเลื่อนอีก และกลายเป็นคุณบุญเลื่อน พร้อมพูดเป็นยาหอมทิ้งไว้ว่า จะรีบเร่งดำเนินการทุกอย่าง"
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่ความคิดแรกที่จะทำว่าคิดอย่างไร แล้วเมื่อมาอยู่ในโลกความจริง บรรดาผู้รู้ทั้งหลายตั้งการ์ดสงสัยมากมาย แล้วเพื่อไทยยังอธิบายไม่ได้อีก ทั้งการห้ามออม ห้ามใช้หนี้ ห้ามใช้ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ห้ามเล่นอบายมุข ให้ซื้อได้เพียงสินค้าทั่วไป แล้วจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร เพราะให้ซื้อในสิ่งที่ต้องซื้อ ไม่มีการซื้อเพิ่ม ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตตามปกติอยู่แล้ว

รวมทั้งเห็นว่า ยิ่งแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตที่ไม่ใช้เงินสด แล้วยังไม่มีเหตุผลต้องเอาเงินมาทำแอปใหม่ หรือทำเป็นเงินเหรียญดิจิทัลต้องจ่ายเป็นค่าแลกไปกลับ เท่ากับสิ่งเหล่านี้ไปเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ทั้งที่ไม่มีมาตรการป้องการการแฮกข้อมูล แล้วจะแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกันอย่างไร
"ถ้าศึกษามาดีจริง และคิดใหญ่ทำเป็นแล้วจะไม่อยู่ในสภาพอย่างนี้ ผมเชื่อพวกเขาคิดเสร็จหมดแล้ว แต่เป็นการคิดข้างเดียวของพวกที่ฝันถึงสำเร็จ แล้วร้องไชโย โดยไม่ได้ดูอีกซีกคิดอย่างไรในเรื่องเดียวกัน แน่นอนจึงเต็มไปด้วยช่องว่างที่จะถูกสังเวยด้วยบทลงโทษมากมาย"

นายจตุพร เชื่อว่า แม้นโยบายแจกเงินดิจิทัลประกาศเป็นทางการแล้ว แต่จะไม่ได้ใช้ เพราะจะถูกขัดขวางโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อีกทั้งบรรดาอดีต ผู้ว่า ธปท.และผู้รู้ทางการเงิน การคลังแต่ละคนได้ตั้งข้อสงสัยอย่างมีน้ำหนักและไม่ได้มีอคติ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ โดยเอาเศรษฐกิจของชาติจริงๆ มาเป็นเหตุผลวิจารณ์และสงสัยการแจกเงิน จนจะทำให้การแจกเงินดิจิทัลท้ายที่สุดต้องตายด้วยตัวเองไปพร้อมกับความคิดแรก ที่ประกาศคำใหญ่ว่า คิดใหญ่ ทำเป็น

อีกทั้ง คาดว่า หากนโยบายแจกเงินดิจิทัลเข้าที่ประชุม ครม. บรรดานักการเมืองพรรคร่วมอาจไม่เสี่ยงร่วมหัวจมท้ายด้วยการลงมติสนับสนุน เพราะไม่ได้เป็นนโยบายของพรรค ไม่ได้ประโยชน์ทางการเมืองด้วย เมื่อเนื้อหนังไม่ได้กินแล้วใครจะเอากระดูกมาแขวนคอ ถ้าถูกดำเนินคดีอาญาย่อมไม่คุ้มกับความเสี่ยงลงมติสนับสนุน 

"ดังนั้น เรื่องนี้จะไม่ง่ายเลย แล้วท้ายที่สุดเรื่องจะจางๆ ลงไป แต่เพื่อไทยจะพูดเอาหล่อเอาสวยกันไปได้ ส่วนในทางปฏิบัติเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่กล้าจะฝ่าตามคำพูดที่โมไว้ ซึ่งไม่สมราคาคุยเลย"ส่วนสถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาสนั้น นายจตุพร เห็นว่า คนไทยต้องตั้งหลักพิจารณากัน โดยอย่าลืมตลาดเศรษฐกิจโลกมุสลิม 2 พันล้านคนที่ใหญ่กว่าตลาด 10 ล้านคนของอิสราเอล อีกอย่างในไทยมีคนมุสลิมอยู่ 5 ล้านคนที่ทำงานกับประเทศมุสลิมแทบทุกประเทศ ดังนั้น บริบทของคนไทยจึงต้องคิดทุกมิติไม่ใช่คิดแต่คนไทยในประเทศอิสราเอลอย่างเดียว

นายจตุพร กล่าวว่า ไทยไม่มีเอกราชทางเศรษฐกิจ ยิ่งในเรื่องพลังงานที่โลกมุสลิมครอบครองอยู่ แต่สิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วยการแสดงตัวตนของประเทศโดยไม่คำนึงถึงปัญหาทางเศรษฐกิจเลย อีกอย่างไทยเอาสมองส่วนไหนคิด ตัดสินใจไปซื้อสินค้าพลังงานที่แพง แต่ไม่ซื้อจากประเทศที่ขายราคาถูก จึงแสดงถึงการวางบริบทเลือกข้างระหว่างประเทศแต่ไม่ได้ประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง

"ไทยวันนี้ต้องคิดถึงตัวเองเหมือนกัน ที่สำคัญเราไม่ได้เป็นมหาอำนาจ ไม่ใช่เจ้าโลก อีกอย่างแต่ละประเทศก็คิดถึงความเป็นชาติของเขาด้วย ดังนั้น การตัดสินใจไปเลือกข้างประเทศ 10 ล้านคนไม่เลือกกลุ่มประเทศ 2 พันล้านคนก็ไม่รู้จะคิดอะไรเหมือนกันอีกกับประเทศนี้"

นายจตุพร กล่าวว่า ไทยควรมีหน้าที่ประคับประคองอารมณ์ความรู้สึกกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะจะมีผลในทั้งทางเศรษฐกิจในอนาคต หากไทยยังใช้ยุทธศาสตร์ความมั่นคงเดิมแล้ว จะทำให้มีปัญหากับประเทศพม่าเพิ่มขึ้นอีก แล้วยังต้องถูกขนาบด้วยกลุ่มประเทศอินโดจีนอีก ยิ่งจะเป็นปัญหาเอาตัวไม่รอดหนักขึ้นไปด้วย ไทยจะต้องรับกรรมหากสถานการณ์ลุกลามเกิดเป็นสงครามของมหาอำนาจขึ้น

อีกทั้ง กล่าวว่า ไทยต้องการสันติภาพเหมือนผู้คนทั้งโลก ดังนั้น จึงต้องมองทุกอย่างระหว่างประเทศด้วยความเข้าใจที่สุด โดยคนทำงานที่อิสราเอล ย่อมเป็นปกติและธรรมดาต้องชื่นชมอิสราเอล ส่วนระดับชาติแล้วควรมีระบบคิดของคนในประเทศให้หลากมิติยิ่งขึ้น เพื่อจัดลำดับความสัมพันธ์กับมหาอำนาจและประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ขอบคุณ:รายการประเทศไทยต้องมาก่อน