คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์   เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อว่า ผลการหยั่งเสียงครั้งล่าสุดของบรรดาสำนักโพลหลายๆสำนักต่างก็ออกมาเปิดเผยพร้อมๆกันในทิศทางเดียวกันว่าโอกาสที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” จะได้ไปต่อในสมัยที่สองคงจะไม่เกิดขึ้น

นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหาศาลในการออกคำสั่งให้ถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน เมื่อสองปีก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่สหรัฐฯใช้เวลาต่อสู้กับกลุ่มตาลีบันในสงครามนี้มาอย่างยาวนาน 20 ปี ซึ่งถือเป็นสงครามที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯเสียชีวิตถึง 2,488 นายและได้รับบาดเจ็บอีก 20,722 นาย แถมยังเกิดความโกลาหลวุ่นวายในวันที่สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกมา จนมีผลทำให้ทหารอเมริกันต้องเสียชีวิตเพิ่มอีก 13 ราย!!!

โดยการตัดสินใจผิดพลาดครั้งนั้นทำให้คะแนนนิยมของเขาร่วงหล่นลงเรื่อยมาไม่เคยเกิน 42% จากที่เคยมีอยู่ที่ 49% และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนไว้หลายๆอย่างก็ตาม แต่ก็มิได้ทำให้คะแนนนิยมของเขาหวนกลับคืนมาอีกเลย

ผลงานชิ้นโบว์แดงต่างๆที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สร้างขึ้นมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯอย่างมากมายมหาศาล อาทิเช่น ในปีแรกที่เขาก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว เขาได้นำเสนอแพ็คเกจ โครงสร้างมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้าง และ การซ่อมแซมระบบคมนาคม สนามบิน การขนส่งสาธารณะ อินเทอร์เน็ต บรอดแบนด์แห่งชาติ ตลอดจนถึงระบบน้ำและพลังงาน ฯลฯ[vs1]  แถมประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังสามารถผ่านแพ็คเกจบรรเทาทุกข์ด้านการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ให้แก่คนอเมริกัน มูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์

อีกทั้งทางด้านเศรษฐกิจในปีแรกประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ยังสามารถลดจำนวนคนว่างงานให้เหลือแค่เพียง 3.9% จากที่เคยมีอยู่ที่ 6.3% แม้กระทั่งปัญหาเกี่ยวกับการช่วยเหลือสงครามยูเครน ที่ดำเนินติดต่อกันมาถึง 20 เดือนกว่าเข้าไปแล้ว แต่กลับปรากฏว่า คะแนนนิยมด้านการบริการจัดการสงครามที่เขาเคยได้รับการสนับสนุนจากคนอเมริกัน กลับมีลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

โดยตอนแรกๆคนอเมริกันเห็นด้วยกับนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ออกมาให้การสนับสนุนทั้งอาวุธสงครามและทั้งเงินช่วยเหลือต่อยูเครน โดยมีความพึงพอใจอยู่ที่ 47% ที่ไม่เห็นด้วยอยู่ที่ 39%  และอีก 13% ไม่แน่ใจไม่ขอออกความเห็น!

แต่ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2023 ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้ กลับปรากฏว่าคนอเมริกันให้การสนับสนุนประธานาธิบดีโจ ไบเดนเกี่ยวกับสงครามยูเครนลดลงเหลือแค่เพียง  41% เท่านั้น

ทั้งนี้ฐานเสียงผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันถึง 62% ให้ความคิดเห็นว่า สหรัฐฯทุ่มเงินช่วยเหลือยูเครนมากเกินไป แถมตามมาด้วย “ประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน” ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่หมาดๆ ก็แสดงท่าทีไม่โอเค โดยพยายามตั้งเงื่อนไขในเรื่องการที่สหรัฐฯจะเข้าช่วยเหลือยูเครนอีกด้วย

อีกทั้งขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่สหรัฐฯกำลังมีกับ “นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู” ที่สหรัฐฯพยายามเรียกร้องให้มีการหยุดยิงได้เลย ทั้งๆที่สหรัฐฯทุ่มเงินช่วยเหลือทางด้านความมั่นคงต่ออิสราเอลเป็นจำนวนกว่า 3.8 พ้นล้านดอลลาร์ต่อปี

คราวนี้ผมขอวกกลับมาพูดถึงผลการหยั่งเสียงของสำนักโพลต่างๆที่เพิ่งเปิดเผยออกมาล่าสุดนี้ว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กำลังเนื้อหอมได้รับคะแนนนิยมนำลิ่วทั้งในรัฐแอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา และ รัฐเพนซิลเวเนียตอนเหนือ ทั้งๆที่การเลือกตั้งคราวที่แล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในรัฐเหล่านี้ด้วยซ้ำไป

มีผลทำให้บรรดาผู้นำของพรรคเดโมแครตรู้สึกแปลกใจเป็นไปได้อย่างไรที่ถึงแม้ว่าขณะนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะถูกฟ้องร้องในข้อหาทางอาญาถึงสี่ครั้งรวม 91 กระทง และเพราะเหตุผลกลใดเขาจึงได้รับความนิยมเหนือกว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่วนเรื่องอายุอานามของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเขาจะมีอายุครบ 81 ปีในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็กลายเป็นประเด็นร้อนให้ถกเถียงด้วยเช่นกัน โดยคนอเมริกันถึง 71% ต่างคิดเห็นกันว่า แก่เกินไปที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปในสมัยที่สอง!

ในทางตรงกันข้ามแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีอายุ 77 ปีแล้วก็ตาม แต่มีคนอเมริกันแค่เพียง 19% เท่านั้นที่มองว่า เขาแก่เกินไปที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งคราหนึ่ง ขณะที่คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังร่วงหล่นลงมามิใช่น้อยในขณะนี้ แน่นอนว่าบรรดาแกนนำของค่ายพรรคเดโมแครตต่างมีความวิตกกังวลตื่นตระหนกกันเป็นอย่างมากว่า สมควรที่พรรคจะเสี่ยงให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อไปในสมัยที่สองหรือไม่?

อีกทั้งยังมีนักการเมืองภายในพรรคเดโมแครตบางคนพยายามออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวจากการแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เดวิด แอ็กแซลร็อด” ซึ่งเขาผู้นี้เคยรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้กับ “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวจากการแข่งขัน

นอกจากนั้นแล้วขณะนี้ก็ยังมี “ส.ส.โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี” หลานชายของ “อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี” ที่ก่อนหน้านี้ส.ส.โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี ก็เคยสังกัดอยู่ในพรรคเดโมแครตด้วยเช่นกัน (แต่ขณะนี้เขาเป็นส.ส.พรรคอิสระ)  โดยตอนนี้เขาลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีท้าทายต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน  และเขาก็ได้รับคะแนนนิยมถึง 22% ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะทำให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลดน้อยลงไป

และอย่าลืมว่าในอดีตที่ผ่านมาการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 1980 ครั้งนั้น “วุฒิสมาชิกเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี” น้องชายของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี ก็ลงแข่งขันเลือกตั้งท้าทายต่อ “ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์” จนเป็นผลทำให้ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ต้องพ่ายแพ้แก่ “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน”

และครั้งนี้ได้มีการประเมินกันว่า หากคะแนนนิยมของส.ส.โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็อาจเป็นปัจจัยที่จะทำให้โอกาสของประธานาธิบดีโจ ไบเดน พลาดท่าพ่ายแพ้ได้เช่นเดียวกัน

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นสัญญาณร้ายต่างๆของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่ส่วนใหญ่ออกมาเป็นด้านลบ แน่นอนว่าเป็นเค้าลางอันตรายที่เสี่ยงต่อเส้นทางการเมือง ที่ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องตัดใจประกาศยอมถอนตัวออกจากการแข่งขันและเลือกเฟ้นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าไปแทนที่ แต่ก็คงต้องติดตามกันตอนต่อๆไปละครับ