นายภาคภูมิ ตั้งสง่า หรือดีเจภูมิ Youtuber ชื่อดัง ได้พา น.ส.เพ็ญพร วงศ์นพรัตน์เลิศ หุ้นส่วนบริษัทรองเท้าของดีเจภูมิ และนายวรินทร มิชาส์ ซึ่งทั้ง 2 เป็นผู้เสียหายเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 เนื่องจากทั้งสองถูกหลอกขายนาฬิกาหรู สูญเสียเงินมูลค่าไปรวมทั้งสิ้น 3 ล้านบาท 

โดยดีเจภูมิระบุว่า เนื่องจาก น.ส.เพ็ญพร ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของบริษัท ต้องการจะลงทุนซื้อนาฬิกาหรูรุ่นเดียวกับที่ตนใส่ ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ปกติแล้วราคาอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านกว่าบาท แต่ปรากฏว่ามีเพื่อนของตน ส่งมาว่ามีเพจหนึ่งขายนาฬิการุ่นเดียวกันในราคาล้านกว่าบาท ซึ่งตอนนี้เพจดังกล่าวปิดหนีไปแล้ว ตนเห็นว่าราคาดี จึงส่งเพจนี้ให้ น.ส.เพ็ญพรดู เพื่อนำไปติดต่อซื้อขายนาฬิกา แต่กลายเป็นว่า เป็นเพจหลอกขายนาฬิกาที่สร้างความเสียหายนับล้านกว่าบาท และยังมีนายวรินทรเป็นผู้เสียหายอีกราย จึงพากันเข้ามาแจ้งความให้ตำรวจไซเบอร์ดำเนินคดีในเรื่องนี้ 


ด้าน น.ส.เพ็ญพร กล่าวว่า เมื่อตนได้ติดต่อไปในเพจดังกล่าว ทางเพจได้แจ้งว่าให้แอด Line ตนก็ดำเนินการแอดไลน์ไป หลังจากนั้นทางฝั่งผู้ขาย ก็ได้โทร LINE มาหาตน ทำให้ตนเชื่อใจว่าน่าจะเป็นของจริง แต่เนื่องจากติดขัดทางด้านภาษา เพราะฝั่งนู้นพูดจีน ปนอังกฤษ เลยเปลี่ยนมาเป็นการแชททางข้อความแทน 

หลังจากนั้นช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตนกับฝั่งผู้ขายจึงได้นัดหมายที่จะมาดูนาฬิกาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งทางฝั่งผู้ขายอ้างว่า เนื่องจากไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ เลยจะส่งตัวแทนนำนาฬิกามาให้ดู เมื่อมาถึงตามที่นัดหมาย ตนก็ได้พบกับคนที่นำนาฬิกามาให้ ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาตัวจริง โดยตนกับเจ้าของนาฬิกาก็ได้ตรวจเช็คนาฬิกาแล้วพบว่าเป็นนาฬิกาจริง ไม่ใช่นาฬิกาปลอม จึงพิมพ์ไปยังผู้ขายว่าตกลงที่จะซื้อ ทางฝั่งผู้ขายจึงแจ้งมาว่า ขอให้โอนเงินเป็นสกุลคริปโตเคอเรนซี่แทน เพราะเนื่องจากการโอนเงินระหว่างประเทศมีข้อจำกัดหลายอย่าง เลยต้องการให้โอนเป็นสกุลดิจิตอลจะดีกว่า  ตนจึงโอนเงิน สกุลดิจิตอลไปประมาณ 40,000 USDT หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,500,000 บาท 

ปรากฏหลังจากโอนเสร็จ ฝั่งผู้ที่นำนาฬิกามาให้ดู กลับบอกตนว่า เงินยังไม่เข้าและสอบถามตนว่าจะนำนาฬิกาไปที่ฮ่องกงยังไง เลยทำให้ตนเกิดข้อสงสัยเพราะตนต้องการซื้อนาฬิกามาไว้เป็นของตัวเอง ไม่ได้มีหน้าที่รับหิ้วนาฬิกาให้ใคร จึงทำให้เข้าใจในทันทีว่า ตอนนี้ตนกำลังโดนหลอกซื้อขายนาฬิกา 

ทางดีเจภูมิได้พูดสรุปเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า มิจฉาชีพซึ่งน่าจะอยู่ที่ฮ่องกง ได้ดำเนินการหลอกทั้งฝั่งของ น.ส.เพ็ญพร และเจ้าของนาฬิกาตัวจริง โดยหลอก น.ส.เพ็ญพรว่า จะให้คนนำนาฬิกามาให้ดู ก่อนจะโอนชำระมาที่มิจฉาชีพ ส่วนเจ้าของนาฬิกาตัวจริงก็ถูกหลอกว่า ให้นำนาฬิกามาให้ น.ส.เพ็ญพรดู ซึ่งอาจจะอ้างว่า น.ส.เพ็ญพรเป็นเพื่อนกับมิจฉาชีพ หากพึงพอใจมิจฉาชีพจะโอนเงินซื้อนาฬิกาให้แก่เจ้าของนาฬิกาตัวจริง 

หลังจากนั้นตนกับเจ้าของนาฬิกาจึงพากันไปแจ้งความดำเนินคดี ที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งเบื้องต้นเจ้าของนาฬิกาเองก็ปฏิเสธว่า ไม่รู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพคนนี้แต่อย่างใด แต่เพื่อความสบายใจ และอยากให้สามารถติดตามนำเงินกลับมา เลยเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจไซเบอร์เพิ่มเติม 


ด้านนายวรินทร มิชาส์ ผู้เสียหายอีกรายที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน เล่าว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ตนสนใจจะหาซื้อนาฬิกาหรูโรเล็กซ์ จึงไปหาสินค้าผ่านทางมาร์เก็ตเพลส Facebook เจอ Account คนจีนชื่อนาย Liam ได้นำนาฬิกาหรูทึ่ตนต้องการมาประกาศขาย 1 เรือน ในราคา 1,100,000 บาท มีการคุยตกลงราคาผ่านทาง LINE ต่อมานาย Liam ได้ลดราคานาฬิกาให้เหลือเพียง  820,000 บาท ตนจึงตกลงที่จะซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าว 

จากนั้นวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา นาย Liam ได้แจ้งให้ตนเดินทางไปรับนาฬิกาหรูที่ร้านตรวจสอบนาฬิกาแห่งหนึ่งที่เซ็นทรัลเวิลด์ แต่เมื่อไปถึงกลับพบชายชาวจีนชื่อ MR.LONGTIAN  ได้เดินทางมาส่งนาฬิกาเรือนดังกล่าวแทน ตนตรวจสอบสินค้าแล้วพบว่าเป็นของแท้ จึงสอบถามกับคนส่งนาฬิกาว่า เลขบัญชีคริปโตปลายทางที่ต้องโอนเงินไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งคนที่มาส่งนาฬิกาพยักหน้าบอกว่าถูกต้อง ตนจึงตัดสินใจโอนเงินผ่านบัญชีคริปโตเคอเรนซี USDT จำนวน 22,990 เหรียญ ตีเป็นเงินไทยจำนวน 820,000 บาท แต่เมื่อโอนเสร็จสิ้น MR.LONGTIAN กลับบอกว่า เงินยังไม่เข้าบัญชี จึงไม่ยอมส่งมอบนาฬิกาให้ตน จึงเกิดการโต้เถียงกันอยู่พักใหญ่ แต่ไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้เพราะอีกฝ่ายพูดแต่ภาษาจีน 

เมื่อตนรู้ว่าถูกหลอก จึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ สน.ปทุมวัน ให้มายังที่เกิดเหตุ จากนั้น ไม่นานประมาณ 10 นาที มีหญิงชาวไทยซึ่งเป็นแฟนกับ MR.LONGTIAN ได้เข้ามาโวยวายใส่ตน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าเลขบัญชีนี้เป็นมิจฉาชีพ เมื่อเจรจาไม่รู้เรื่อง ตนได้รับความเสียหาย จึงเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ซึ่งขณะนี้ผ่านมากกว่าสองเดือนแล้ว พนักงานสอบสวนมีเพียงการสอบปากคำตนกับคู่กรณีไปแล้วเท่านั้น จึงรู้สึกว่าคดีความยังไม่คืบหน้า เป็นเหตุที่ต้องมาร้องเรียนพร้อมกับ น.ส.เพ็ญพร ที่ บก.สอท.1 ในวันนี้ เพื่อให้ตำรวจไซเบอร์รับคดีนี้มาดำเนินการ ไม่อยากให้มีเหยื่อรายอื่นถูกหลอกแบบนี้อีก 

ขณะที่ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ ระบุว่า หลังจากนี้จะให้ทั้ง 2 เข้าให้ปากคำกับทีมพนักงานสอบสวน สอท.1 เพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนทางคดี เรื่องนี้ทางตำรวจท้องที่ได้รับแจ้งความดำเนินการทางด้านคดีแล้ว ซึ่งตำรวจ สอท.1 จะลงไปตรวจดูในเรื่องทางเทคนิคและเส้นทางการเงินดิจิทัลเพิ่มเติมคู่ขนานกันไปกับตำรวจท้องที่ ยอมรับว่าเงินสกุลดิจิทัลค่อนข้างจะตามคืนได้ยาก แต่ทางตำรวจจะเร่งวิเคราะห์และหาทางเพื่อให้สามารถติดตามเงินคืนและระบุตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ 

พร้อมฝากเตือนประชาชนว่า การซื้อของทางออนไลน์ นอกจากจะต้องระมัดระวังมิจฉาชีพที่ทำเพจหลอกซื้อขายแล้ว ต้องระมัดระวังเรื่องการโอนเงินโดยเฉพาะสกุลดิจิทัลที่มิจฉาชีพชอบนำมาใช้และตามคืนได้ยาก หากพบเห็นลักษณะการซื้อขายที่เป็นการโอนเงินดิจิทัล ขอให้ระมัดระวังว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพได้ ทางที่ดีควรโอนเป็นเงินปกติจะดีกว่า