คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์   เศรษฐช่วย

จากการพบปะกันเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง ที่เกิดขึ้นระหว่าง“ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” และ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ในการประชุมสุดยอด ณ นครซานฟานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2023 นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนด้านความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่มีเกิดขึ้นหลายๆประเด็นเลยทีเดียว

และยังถือเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ. 2022ที่ผู้นำยักษ์ใหญ่มหาอำนาจทั้งสองเดินทางโคจรมาพบปะกันอีกคราหนึ่งเมื่อวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2023

ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อใดก็ตามที่ทั้งสองผู้นำมีโอกาสพบปะกัน ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะเผชิญหน้ากันเสียมากกว่า โดยแทบทุกครั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน มักจะเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์แบบย้ำๆซ้ำๆเสมอๆว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นจอมเผด็จการ!!!

แต่มาครั้งนี้บรรยากาศของการประชุมสุดยอดของทั้งสองผู้นำที่ถึงแม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างมุมมองกัน แต่กลับดูซอฟท์ๆมีความเป็นมิตรเจือปนมากขึ้น

อีกทั้งในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ยังมีการพูดคุยเจรจาตกลงกันในหลายๆประเด็น โดยต่างฝ่ายต่างให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่า “จะนำผลการตกลงไปประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนของตนได้รับทราบ” อีกทั้งสื่อของทั้งสองฝ่ายต่างก็นำข่าวไปเผยแพร่ลงในโซเชียลมีเดียกันอย่างกว้างขวาง เข้าทำนองเต้าข่าวโฆษณาก็คงไม่ผิดนัก!!!

โดยจีนได้แพร่ภาพและนำเสนอข่าวว่า “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินคุยกระหนุงกระหนิงสองต่อสองกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน กันที่ในสวน”

ส่วนการที่ทั้งสองผู้นำต่างตกลงกันว่า “จะยกหูโทรศัพท์พูดคุยปรึกษากัน หากมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น”ก็นับเป็นเรื่องราวดีๆครั้งใหม่ ที่ในอดีตมิเคยมีการปฏิบัติเยี่ยงนี้ต่อกันเลย

หากจะมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่สหรัฐฯตรวจพบบอลลูนสอดแนมของจีนล่องลอยข้ามบนฟากฟ้าเหนือรัฐต่างๆ ระหว่างวันที่ 28 มกราคม จนถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2023 และในที่สุดกองทัพอากาศสหรัฐฯก็ตัดสินใจยิงบอลลูนตกลงที่รัฐเซาท์แคโรไลนา

เหตุการณ์ครั้งนั้นได้กลายเป็นวิกฤติทางการเมืองอันล่อแหลมต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศตามมาด้วยการอ้างสิทธิ์ของจีนที่มีต่อไต้หวัน จนสร้างความไม่พอใจต่อสหรัฐฯ ที่วางตัวเป็นพันธมิตรอันดีของไต้หวัน ถึงขนาดประกาศห้ามส่งเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯให้จีน

สำหรับการประชุมสุดยอดในครั้งนี้ ได้มีข้อตกลงที่จะเปิดการเจรจาระดับสูงทางด้านการทหารกันอีกครั้งหนึ่ง โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสดงท่าทีพึงพอใจที่การเจรจาจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

นับว่าการพูดคุยกันในครั้งนี้จะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาข้อพิพาทต่างๆที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุด

ส่วนเรื่อง “เฟนทานิล” ซึ่งเป็นฝิ่นสังเคราะห์ที่มีความร้ายแรงมากกว่าเฮโรอีนถึง 50 เท่าและแรงกว่ามอร์ฟีนถึง 100 เท่า โดยที่ผ่านมาเฟนทานิลคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วนับหมื่นคนในแต่ละปี

อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปีค.ศ. 2019 เป็นต้นมาจีนสั่งห้ามการส่งออกเฟนทานิล โดยในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ผู้นำทั้งสองต่างมีข้อตกลงจะหาทางกำจัดยานรกชนิดนี้ให้หมดไปจากโลกนี้อีกด้วย!!!

เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการจัดการปัญญาประดิษฐ์ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตัดสินใจเชื้อเชิญเยาวชนอเมริกัน 50,000 คนไปประเทศจีน เพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนในโครงการนี้อย่างจริงจังเป็นเวลาห้าปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญต่อความเข้าใจและนำไปสู่ความร่วมมืออันดีที่จะเสริมสร้างผู้นำคลื่นลูกใหม่ไฟแรงให้บังเกิดขึ้นทั้งสองประเทศ

อีกทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต่างมีความปรารถนาต้องการจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกรณีไต้หวันโดยผู้นำทั้งสองต่างลงความเห็นว่าปัญหาเกี่ยวกับไต้หวัน ถือเป็นประเด็นที่ใหญ่ที่สุดและอันตรายที่สุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวปฏิเสธในเรื่องที่จะใช้กำลังทหารบุกยึดเกาะไต้ไหวันในปีค.ศ. 2570

ส่วนปัญหาเรื่องสงครามยูเครนที่ยืดเยื้อมานานนั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้กล่าวเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระงับการสนับสนุนทางด้านทหารให้แก่รัสเซียอีกด้วย

และนอกเหนือจากนั้นประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้กล่าวสุนทรพจน์ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีน ในงาน “Senior Chinese Leader Event” ที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมการแห่งชาติ ในงานวันนั้นประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จีนพร้อมแล้วที่จะเป็นหุ้นส่วนและมิตรแท้ของสหรัฐฯ

หนังสือพิมพ์ซินหัวของจีนได้เขียนรายงานในเชิงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเยือนสหรัฐฯเมื่อ 38 ปีก่อนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สมัยที่ยังเป็นหนุ่มวัยละอ่อนในหัวข้อที่ว่า ประธานาธิบดีสี

จิ้นผิง ไม่เคยลืมเลือนเพื่อนรักชาวอเมริกันของเขาเลย และเชื่อว่าความรักนี้ก็คือกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งระหว่างสหรัฐฯกับจีน

อย่างไรก็ตามทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต่างตระหนักเป็นอย่างดีกว่า ชาวโลกกำลังจับตาดูว่าเขาทั้งสองจะตกลงอะไรกันบ้าง?

หากวิเคราะห์ถึงความเป็นจริงกันแล้วแม้ว่าที่ผ่านมาทั้งสหรัฐฯและจีนต่างก็เป็นคู่แข่งขันทางเศรษฐกิจและทางการเมืองกันอย่างเข้มข้น แต่ดูๆไปแล้วการค้าที่สองประเทศติดต่อซื้อขายกันมาอย่างยาวนานนั้น นับเป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยทั้งสองประเทศต่างก็ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน

เมื่อดูจากเครื่องใช้อุปโภคบริโภคต่างๆที่สหรัฐฯสั่งนำเข้ามาจากจีนนั้น นับได้เลยว่าสหรัฐฯเป็นลูกค้ารายใหญ่และยังเป็นตลาดถ่ายเทสินค้าของจีนอย่างมากมายมหาศาล

หากเราเดินไปช็อปปิงซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในห้างสรรพสินค้าหรือในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือร้านใหญ่ก็ตาม จะเห็นได้ว่าสินค้าส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ผลิตในประเทศจีนแทบทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆจะเห็นว่ารถไฟขนสินค้าในนครลอสแอนเจลิสที่แต่ละขบวนยาวสุดลูกหูลูกตาล้วนแล้วแต่บรรทุกสินค้าจากประเทศจีนส่งตรงไปยังท่าเรือใจกลางเมืองนครลอสแอนเจลิสตลอดแทบทั้งวัน

แถมอาคารธุรกิจขนาดเล็กและใหญ่ของชาวจีนตามย่านธุรกิจสำคัญๆ ในสหรัฐฯก็มีการก่อสร้างผุดขึ้นมามากมายราวกับดอกเห็ด

หรือแม้กระทั่งการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของพี่น้องชาวจีนก็ขยายอาณาเขตกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งของสหรัฐฯ

และเป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่านักการเมืองที่มีเชื้อสายจีนในสภาคองเกรสก็กำลังกลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้แก่ประเทศจีนอีกด้วย เท่ากับว่าขณะนี้ธุรกิจของชาวจีนเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะใช้ในการต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯต่อๆไปในระยะยาว

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการตั้งใจของสหรัฐฯที่นำโดย “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และผู้นำของจีนที่นำโดย “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”ที่ต่างต้องการจะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น นับได้ว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ต่อไปในภายภาคหน้าเราจะได้เห็น “พญามังกร”และ “พญาอินทรี” จับมือช่วยกันทำให้โลกใบนี้สงบสุขน่าอยู่ขึ้น เพี้ยง!ขอให้สมพรปากเรื่องราวดีๆนี้เกิดขึ้นจริงๆละครับ