คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย            

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่เพียงไม่กี่ปีที่ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” แห่งอินเดีย ก้าวขึ้นสู่อำนาจ โดยขณะนี้เขาได้พัฒนาให้ประเทศอินเดียเจริญก้าวหน้าไปได้กว้างไกลในหลายๆด้าน แบบที่ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีโมดี มีความใฝ่ฝันต้องการที่จะให้อินเดียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอยู่ในระดับต้นๆของโลก!!!

อนึ่งผมมีเพื่อนสนิทชื่อ “มอลลี ฟอล์คเนอร์” ที่ผมรักเธอเหมือนดั่งเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่งที่เธอเป็นนักธุรกิจระดับสากล โดยเราต่างก็เคยยึดอาชีพทางด้านการเงินในบริษัทเดียวกันที่สหรัฐอเมริกาเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนหน้านี้ แต่ในระยะห้าปีที่ผ่านมาเธอได้ตัดสินใจเดินทางไปปักหลักดำเนินธุรกิจ ณ ประเทศอินเดีย และด้วยความคิดถึงที่มีต่อกัน เธอจึงเดินทางมาร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาสกับผมที่บ้านพัก ในนครลอสแอนเจลิส เธอได้เล่าเรื่องราวที่เป็นประสบการณ์ใหม่ๆให้ผมฟังในหลายๆประเด็นเกี่ยวกับประเทศอินเดีย ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆเอาไว้ประดับความรู้แก่ท่านผู้อ่าน

เธอเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อห้าปีก่อนหน้านี้อินเดียมีสนามบินเอาไว้รองรับเพียงไม่กี่แห่ง แต่ขณะนี้ได้เพิ่มขึ้นหลายร้อยแห่ง ที่รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยนายกฯโมดี มีนโยบายต้องการที่จะจัดสรรงบประมาณด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลทางด้านโครงสร้างขั้นพื้นฐาน เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศอินเดียมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงสู่ศตวรรษที่ 21 นั่นเอง

และขณะนี้อินเดียยังมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดไปอย่างมากมาย เนื่องจากอินเดียมีจำนวนประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลก จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ต่อไปในอนาคตอินเดียจะกลายเป็นตลาดใหญ่ที่มีสินค้าแทบทุกๆชนิดส่งจากต่างประเทศตรงไปยังอินเดีย!!!

และเนื่องจากจำนวนประชากรของอินเดียกว่า 80% อยู่ในภาคเกษตรกรรม อีกทั้งอินเดียเต็มไปด้วยปลาน้ำจืดหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้มีเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงกุ้งที่ได้กลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆของอินเดียอีกด้วย

ขณะนี้อินเดียสามารถสร้างผลผลิตการส่งออกทางด้านปศุสัตว์หลากหลายชนิดที่มีจำนวนมากถึง 5.3 ล้านเมตริกตันต่อปี และไข่ไก่ถึง 75 พันล้านฟองต่อปีเลยทีเดียว

อนึ่งอินเดียยังมีโรงฆ่าสัตว์ที่ทันสมัย มีระบบห้องเย็นขั้นสูง และยังมีห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพอาหารที่ทันสมัยอีกด้วย

คราวนี้ผมขอวกกลับมาพูดถึงผลพวงทางด้านบวกในการที่อินเดียยืนหยัดต้องการที่จะดำเนินนโยบายวางตัวเป็นกลางทางด้านการต่างประเทศ!!!

นโยบายไม่ต้องการที่จะฝักใฝ่ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของอินเดียในขณะนี้ มิใช่ของใหม่แต่อย่างใด โดยครั้งที่เกิดสงครามเย็น อินเดียได้วางนโยบายเป็นกลาง

เริ่มแรกนับตั้งแต่รัสเซียเข้าบุกทำสงครามต่อยูเครน สหรัฐฯได้ชักชวนประเทศต่างๆให้แยกตัวและกล่าวประณามมอสโก โดยที่ผ่านมาสหรัฐฯพยายามนำเอามาตรการคว่ำบาตรมาใช้กับรัสเซีย แต่จะเห็นได้ว่าอินเดียมิได้กระทำตัวตามน้ำไปอย่างที่สหรัฐฯต้องการ แต่อินเดียได้วางตัวเป็นกลาง แถมยังมิได้ปริปากเอ่ยประณามรัสเซียแต่อย่างใด โดยอินเดียพยายามหลีกเลี่ยงการลงคะแนนเสียงต่อต้านรัสเซียในสหประชาชาติอีกด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อนายกรัฐมนตรีโมดี ต้องเผชิญต่อแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาและจากกลุ่มประเทศยุโรป นายกรัฐมนตรีโมดีเพียงแต่ออกมาเอ่ยปากกล่าวกับ “ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน” แห่งรัสเซียว่า “ยุคปัจจุบันนี้ มิใช่ยุคของการทำสงครามแล้ว”

สำหรับด้านการซื้ออาวุธนั้น อินเดียได้ลดการพึ่งพาอาวุธจากรัสเซียออกไปอย่างมาก โดยขณะนี้อินเดียกระจายการจัดซื้ออาวุธจากประเทศต่างๆทั่วโลก อาทิเช่น สั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา อิสราเอล ฝรั่งเศส และ อิตาลี

โดยขณะนี้ถือได้ว่า อินเดียมีกองทัพยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก มีกองทัพอากาศใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และมีกองทัพเรืออยู่ในอันดับที่เจ็ดของโลก (ข้อมูลจากสำนักข่าวเอพี วันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2023)

ทั้งนี้จากการรายงานของ “สำนักหยั่งเสียง Pew Research” ขณะที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ปรากฏออกมาว่า คนอเมริกันชื่นชมอินเดียมากขึ้นถึง 51% (ข้อมูลจาก Pew Research Center เมื่อวันที่ 21 June 2023)

อีกทั้งท่าทีของชาวโลกที่ต่างพากันมองในทำนองเดียวกันว่า ขณะนี้อินเดียมีอิทธิพลในเวทีโลกมากถึง 64%

ล่าสุดนี้นายกรัฐมนตรีโมดี ยังเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมชมชอบมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยล่าสุดนี้ความชื่นชอบของเขาอยู่ที่ 76% (ข้อมูลจาก Morning Consult, December 9, 2023)

การเยือนของนายกรัฐมนตรีโมดี ณ ทำเนียบขาวเมื่อเดือนมิถุนายนนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอินเดียครั้งสำคัญเลยทีเดียว โดยที่นายกรัฐมนตรีโมดีได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นหรูหรา และยังปรากฏว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ยังให้ความร่วมมือกับนายกรัฐมนตรีโมดีในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ (Space Technology)

โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังรับปากที่จะส่งเสริมและให้ความมือในเชิงพาณิชย์ และการสำรวจทางอวกาศ อีกทั้งองค์การนาซาของสหรัฐฯเตรียมที่จะอบรมเพิ่มเติมความรู้ให้แก่นักบินอวกาศชาวอินเดีย ณ ศูนย์ Johnson Space Center ณ เมืองฮิวส์ตัน รัฐเทกซัส โดยมีเป้าหมายที่จะมีการดำเนินร่วมกันไปยังสถานีอวกาศนานาชาติในปีค.ศ. 2024

อีกทั้งแอร์อินเดียยังได้สั่งซื้อเครื่องบินรายใหญ่เป็นอันดับสองของโบอิงและขณะนี้ประชาชนอินเดียเป็นประชากรกลุ่มใหญ่อันดับสองที่กำลังศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังได้กล่าวยกย่องนายกรัฐมนตรีโมดี ในการรับเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด G20 เมื่อเดือนกันยายน โดยการประชุมสุดยอดดังกล่าวมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดีจากแถบภาคพื้นยุโรปมุ่งตรงไปยังแถบทวีปเอเชีย

นอกจากนั้นแล้วสหรัฐอเมริกากับอินเดียยังมีข้อตกลงร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ รวมทั้งความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งสหรัฐฯจะส่งเสริมการลงทุนหลักในอุตสาหกรรม

และจากข้อมูลของ “Goldman Sachs Research” ซึ่งเป็นทีมงานระดับโลกในการวิจัยเกี่ยวกับบริษัทและเศรษฐกิจรวมถึงอุตสาหกรรม สกุลเงิน และสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลายโดยล่าสุดนี้ได้เปิดเผยว่า ภายในปีค.ศ. 2075 อินเดียจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจ อันดับสองของโลก รองจากประเทศจีน

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” ยืนหยัดรักษานโยบายเป็นกลางอย่างแน่วแน่มาโดยตลอด จึงมีผลทำให้อินเดียได้รับอานิสงส์ความร่วมมือจากทุกๆประเทศบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเดียยังได้รับเทคโนโลยีทันสมัยใหม่ๆจากสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดจนสามารถใช้พึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งอีกด้วยละครับ