ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ” กับพวก โกงเงินทอนวัด เสียหายกว่า 30 ล้านบาท

20 ธันวาคม 2566 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช.เปิดเผยว่าป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทั้งอาญาและวินัยร้ายแรงต่อ นายนพรัตน์ เบญจนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวกร่วมกันทุจริตเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ประจำปี 2557 ของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่จัดสรรให้กับวัดโพธิ์ทองและวัดตำหนัก (ภาวนารม) และวัดจงกลณี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดเพลง(กลางสวน) กรุงเทพมหานคร วัดใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ วัดเกาะแก้วอรุณคาม จังหวัดสระบุรี วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม และวัดกลางเหนือ จังหวัดสมุทรสงคราม

ในกรณีของวัดโพธิ์ทอง วัดตำหนักและวัดจงกลนี นายนพรัตน์ได้อนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวัดละ 1,000,000-2,000,000 บาท ทั้งที่วัดไม่ได้ยื่นคำขอรับเงินอุดหนุนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผ่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการ เจ้าสังกัดและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองตามลำดับ โดยมีเงื่อนไขว่าวัดที่ขอรับเงินอุดหนุนจะได้รับเงินอุดหนุนเพียงร้อยละ 10 ของเงินที่ได้รับเท่านั้น ส่วนอีกร้อยละ 90 จะต้องส่งคืนให้กับสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อนำไปสนับสนุนวัดในถิ่นทุรกันดาร และวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

หลังได้รับเงินจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแล้ว ได้มีการแจ้งเจ้าอาวาสให้เบิกเงินอุดหนุนดังกล่าวมาคืนให้นางสาวประนอม คงพิกุล โดยวัดโพธิ์ทองได้เงินอุดหนุน1,000,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงเพียง 90,000 บาท เช่นเดียวกับวัดตำหนัก(ภาวนาราม)ได้เงินอุดหนุน1,000,000 บาท แต่ได้รับเงินจริง 90,000 บาท ส่วนวัดจงกลนี ได้รับเงินอุดหนุน 2,000,000 บาท แต่ต้องจ่ายคืนให้กับนางสาวประนอม 1,600,000 บาท จึงทำให้ได้รับเงินจริงเพียง 400,000 บาท

ส่วนอีก 5 วัดที่เหลือเป็นกรณีอ้างว่าวัดขอรับเงินอุดหนุนเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์เนื่องจากประสบวินาศภัย โดยวัดห้วยจระเข้ วัดใหญ่วัดละ 4,000,000 บาท วัดเพลงและวัดเกาะแก้วอรุณคาม วัดละ 5,000,000 บาท วัดกลางเหนือ 10,000,000 บาท ทั้งที่ในข้อเท็จจริงวัดไม่เคยมีคำขอรับเงินอุดหนุนและไม่ได้ประสบวินาศภัย

ดังนั้นการกระทำของนายนพรัตน์กับพวก เป็นการอนุมัติเงินอุดหนุนวัดไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ทำให้เกิดความเสียหายต่อสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แม้ภายหลังวัดจะเบิกเงินมาใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดจริงโดยไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่รัฐไปเรียกรับเงินหรือขอเงินคืนจากงบประมาณที่ได้รับไปก็ตาม แต่ ป.ป.ช.ก็เห็นว่าการกระทำของนายนพรัตน์ ทั้ง 8 สำนวนคดี มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 มาตรา 162(1)(4) ประกอบมาตรา 83 พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 423/1

นอกจากนี้ มีการชี้มูลความผิดอาญาพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ (ไพโรจน์ บุญโสม) พระมหาสมบัติอาภากโร(สมบัติ ระสารักษ์) นางวรัญญู เพชรรัตน์ นางสาวประนอม คงพิกุล นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ตามมาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 423/1 รวมถึงชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงต่อนายนพรัตน์ นางสาวประนอมและนายวสวัตติ์ เพิ่มด้วย โดย ป.ป.ช.ได้ส่งรายงานการไต่สวนสำนวนเอกสารและคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีในศาลที่มีเขตอำนาจ รวมถึงส่งไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินคงวามผิดทางวินัยตามฐานความผิด พร้อมแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2539 ด้วย