ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“หากจะเปรียบชีวิตเป็นดั่ง..พันธุ์ไม้ที่ผลิบานในสวนศรีของเจตจำนง..มันย่อมคือ...พัฒนาการแห่งการเติบโตที่ไม่มีวันหยุดนิ่งและตายไปจากความทรงจำ..วิถีอันเป็นความงามในความจริงของธรรมชาติดังกล่าว..ย่อมคืออุทาหรณ์อันมีคุณค่าต่อการปรุงแต่งชีวิตให้นับเนื่องสู่ความมีคุณค่า อันไม่รู้จบรู้สิ้น..ท่ามกลางความ “ว่าง” ของชีวิต ตัวตนในความเป็น “ฉัน” ของแต่ละคน..จึงคลี่บานขึ้นด้วย .ดวงใจแห่งดวงใจ..ในรูปรอยที่ปรากฏอยู่เหนือ..สำนึกคิดอันดาษดื่นที่ไร้คุณค่าต่อ..ความมุ่งหวังใดๆ..มันคือ..ความหมายภายใน...อันนับเนื่อง..นิรันดร์...”

ภาวะรู้สึกจากสำนึกคิดเบื้องต้น..คือสาระอันงดงามที่ได้รับจากหนังสือ “แล้ววันหนึ่ง” ฉัน “จะผลิบาน”..หนังสือที่ปลูกสร้างหัวใจให้เบิกบานไปด้วยความหวัง..มันคือกลิ่นอายอันล้ำค่าต่อการผสานสัมพันธ์กับ..การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า...งานเขียนจากฝีมือการสรรค์สร้างของ “คิม อึนจู” (kim Eun-Joo) ผู้โด่งดังจากหนังสือ “แด่วัย 30 ผู้คิดมาก” และ “1CM ระหว่างเธอกับฉัน”..

นี่คือ..สาระอันมีค่าที่ทั้งสอนสั่งและย้ำเตือนให้ทุกคน..ต้องรักตัวเองให้มากๆ และ จำเป็นต้อง..ดูแลจิตใจของตนเองให้ดี..ขั้นตอนของ “Self Gardening” นั้นมีอยู่ 7 ขั้นตอน..อันเหมาะสม และสำคัญต่อการเรียนรู้ในการใช้ชีวิตอย่างยิ่ง..ประกอบด้วย..

1. “หว่านเมล็ด”..ซึ่งก็คือภาวะที่เปรียบเทียบให้ตระหนักถึงว่า..คนเรานั้นก็เปรียบดั่งเมล็ดพันธุ์...ที่รอคอยการเติบโต..มันคือรากฐานที่ทำให้เราเริ่มต้นรู้จัก ...และมุ่งหวังที่จะสำรวจด้านลึก..ภายในจิตใจของตัวเอง..

2.ให้รดน้ำอย่างพอเหมาะ..นับเนื่องต่อจากการรับรู้ เรียนรู้ และ สำรวจตัวเองแล้ว...เราก็สมควรที่จะต้องหมั่นทำอย่างต่อเนื่องไปทีละน้อยๆ...ระหว่างสายทางแห่งการเติบโต..มันจะต้องมีเรื่องที่ทำให้ชีวิตเจ็บปวด..ที่เราต้องยอมรับ เพื่อที่จะต้องใคร่ครวญ และ รับมือกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..

3.ต้องตัดใบที่เหี่ยวเฉาขว้างทิ้งไป/..ให้จดจำอยู่เสมอว่า ..ในระหว่างทางของการเติบโต...ให้ตัดใบที่เหี่ยวเฉาทิ้งไป..อันเปรียบเสมือนกับภาวะที่ไม่ควรต้องไปใส่ใจกับคนที่ไม่มีผล..เกี่ยวเนื่องกับชีวิตของเรา

4.ต้องพบ และ สัมผัส “เหล่าผีเสื้อและดวงดาว.../..มันคือสัญญะแห่งความจำเป็นที่จะต้องรักษา “สัมพันธภาพ” ที่ดีงามเอาไว้..ในจุดที่เราได้ประสบความสำเร็จ..โดยให้ถือว่า.. “คนที่อยู่เคียงข้างและอยู่ด้วยกับเรา” นั้น..สำคัญต่อชีวิตยิ่ง..

5... “เช็ดน้ำตาและฝุ่น PM 2.5/..อันหมายถึง..เราต้องให้ความสำคัญ..กับทุกๆความรู้สึกแห่งชีวิต..แล้วเดินหน้าต่อ..

6. “รอคอยฤดูกาล..อันเหมาะสม” ..ว่ากันว่า..เราจักต้อง เปิดใจยอมรับตนเอง ต้องปรารถนาที่จะอยากรู้อยากเห็นในตัวเอง...เนื่องเพราะ “เมื่อนั้น ฤดูกาลของเราจักมาถึง”..

7.สุดท้ายดอกไม้ก็จะผลิบาน.. “เพราะ..ไม่ว่าใครก็ตาม ต่างย่อมมีจังหวะชีวิตเป็นของตนเอง..ทั้งสิ้น”

ทั้งหมด..คือส่วนขยายทางความคิด..ที่สอนให้เราตระหนัก และมุ่งหวังตั้งใจให้เราทุกคนได้ทำ “Self gardening”...ได้ทำให้ชีวิตเตรียมพร้อมที่จะฟูมฟัก “เมล็ดพันธุ์” ของตัวเองให้ได้กลายเป็น “ฉัน...ในแบบที่ดีกว่า...” โครงสร้างแห่งการเป็นชีวิต..ท่ามกลางสรรพชีวิต ที่โดนห้อมล้อมไปด้วยสารพันของสิ่งที่เป็นพิษ..แน่นอนว่า..มันย่อมก่อให้เกิดภาวะ..ที่ตอกย้ำให้ผู้คน..ต้องประสบกับความเครียด..และการทำงานล่วงเวลาที่สร้างโอกาสในการทำร้ายและทำลายผิวพรรณ../ผู้คนโดยภาพรวม..เปรียบประหนึ่งฝุ่นผง “PM 2.5 ในดวงตา..ที่ปรากฏอยู่ตามนอกหน้าต่าง/สังคมชีวิตต้องเผชิญความเจ็บปวดจากบาดแผลมีคมที่เกิดจากวาทกรรม..ของคนที่ทั้งรู้จักหรือไม่รู้จักเราดี/..บังเกิดความผิดพลาดที่ไม่คาดคิดกับชีวิต../รวมทั้ง..ความผิดหวังล้มเหลวในตัวเอง../

..ทั้งหมดในสิ่งทั้งหมด..ล้วนก่อข้อสรุปที่เต็มไปด้วย..สภาวะที่ขุ่นมัวในหัวใจ..เกิดฝุ่นผงในจิตวิญญาณ..จนทำให้สายตา..มองไม่เห็นอะไรในโอกาสแห่งชีวิตข้างหน้า..ภาพรวมความคิดของหนังสือ..ชี้แนะแนวทางต่อชีวิตอนาคต..เอาไว้อย่างชวนใส่ใจว่า.. “ยิ่งต้องเผชิญหน้า กับช่วงเวลาเช่นนี้..ก็ยิ่งที่จะต้องสมควรหันมาสังเกต และดูแลชีวิตของตัวเราให้ดี..แทนที่จะมุ่งเป้าไปยังสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต..ก็สมควรที่จะหันมาทำสิ่งที่เล็กๆกันให้ดี..และ..ยิ่งในสภาวะที่ชีวิตรายล้อมไปด้วยสิ่งมีพิษนานา..เราก็ยิ่งจักต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ดีขึ้น..แบบทีละน้อย..ทีละวันให้จงได้..ด้วยการเริ่มต้นทำ “Self gardening”/โดยตั้งใจดูแลต้นไม้ที่ชื่อ “ฉัน”..ให้ดีอย่างสม่ำเสมอ..”

“Kim Eun-Joo”..ในฐานะผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตที่สำคัญและน่าสนใจเอาไว้ในหลายประเด็นว่า..หลายๆคนต่างรู้จักคนอื่นเป็นอย่างดี แต่หาได้รู้จักตัวเองไม่..ไม่รู้จักตัวเองบ้างเลย..แต่กลับตั้งคำถามๆคนอื่นอย่างใส่ใจ แต่กลับไม่ตั้งคำถาม..ถามตัวเองด้วยปริศนาที่ชวนให้คิด ชวนให้ใคร่ครวญต่อตัวเอง..เลย..เธอจึงแนะนำต่อคนอ่านว่า..บางทีเราจำเป็นต้องหาเวลาว่างกันสักนิดเพื่อจะ..ถามคำถามต่างกับตัวเองบ้าง..อาทิ..

“เวลาอยากร้องไห้..ทำอย่างไร?/อยากที่จะทำอะไรสำเร็จบ้าง?/ไม่ชอบคนประเภทไหน?/ถ้ามีเวลา..สิ่งที่อยากทำคืออะไร?/..ช่วงนี้ให้ความสนใจกับอะไร?/รู้สึกโกรธที่สุดตอนไหน?/..และ..หรือ..อยากทำอะไรให้สำเร็จบ้าง???/..”

สิ่งที่น่าแปลกตรงปฏิกิริยาแห่งปรากฏการณ์นี้ก็คือว่า..เราต่างสามารถตอบคำถามเหล่านี้แทนคนอื่นได้..แต่กลับไม่สามารถหาคำตอบหรือรู้คำตอบของตัวเองได้เลย..

ทั้งที่มันจะเป็นคำถามอะไรก็ได้..ขอให้เราสามารถตอบคำถามนั้นได้อย่างตรงๆ..โดยไม่ต้องอวดอ้างหรือแสดงภูมิ..ไม่ต้องให้มันหรูหรา..ไม่ต้องหวังที่จะเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น..ให้เน้นย้ำและตั้งใจที่จะถามตัวเองดั่ง..คู่รักที่เพิ่งตกหลุมรัก/..ซึ่งปรารถนาอยากรู้แม้แต่จำนวนเส้นผมของอีกฝ่าย..

“เราอาจพบว่า..คำตอบของเราที่ลืมไปแล้ว..อาจทำให้เรายิ้ม..แล้วคิดว่า..มีตอนที่เป็นแบบนั้นจริงๆด้วย”

“Kim” ..เหมือนตั้งใจที่จะชวนเรา..ให้กลับมาทำความรู้จักกับตัวเอง..และ ตกหลุมรักตัวเองอีกครั้ง..ประเด็นก็คือว่า..เราต่างคุ้นเคยกับตัวเองจนเกินไป..จนไม่พยายามที่จะทำความรู้จักตัวเองเลย เหตุนี้..เราจึงดูแลตัวเองได้ยาก..เพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร..ทั้งนี้ก็เพราะ..การที่เราจะรักและถนอมตัวเองให้เต็มที่..เราจำเป็นที่จะต้องถนอมตัวเองเสียก่อน..

“อย่าตามใจคนอื่น..จนลืมว่าตัวเองต้องการอะไร?” มีอยู่หลายครั้งไปที่เรามักจะจะมุ่งตั้งใจที่จะให้ความสำคัญไปที่คนอื่นเสมอ..คนอื่นปรารถนาอะไร..ก็ยอมทำตาม..แล้วทิ้งความปรารถนาของเราไว้..เบื้องหลัง จนไม่รู้ตัวเองว่า..ชอบอะไร หรือมีข้อดีอะไรในชีวิตบ้างเสียอย่างนั้น.. ลองรักตัวเองให้มากขึ้น..รู้จักตัวเองให้มากขึ้น หาข้อดี และ สิ่งที่ตนเองสนใจ ก่อนจะลืมไปว่า.. “แท้จริงแล้ว..ตัวเองต้องการอะไรกันแน่?”..

ในช่วงใกล้จะสิ้นปี..ในท่ามกลางเทศกาลแห่งความสุข...ของขวัญเเห่งหัวใจของชีวิต..ถูกส่งมอบให้แก่กันด้วยความรัก..และความอ่อนโยนแห่งเจตจำนงที่ซาบซึ้ง..เราต่างแสวงหาบรรยากาศของ “สุขนิรันดร์” เพื่อปรารถนาที่สมหวังแห่งชีวิตของเรา..ก่อนที่ปีเก่าจะล่วงผ่าน และ ปีใหม่..จะย่างก้าวเข้ามาถึง..ภาพวาดแห่งจินตนาการของเรา..ย่อมสาดสีแสงของความเรืองรุ่ง..ปะปนกับ “สรรพสิ่งที่เป็นพิษ” อันมีอยู่รอบตัวตนของโลกแห่งชีวิต.. “ทรรศิกา จางวิบูลย์” ..แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาสู่ใจ..ด้วยความรู้สึกที่เนียนแนบทั้งด้วย..ความรู้สึกรักและการโอบประคอง..ความวาดหวังที่มีคุณค่า..ระหว่างกัน..

นี่คือ..หนังสือที่จุดไฟหวังให้เจิดกระจ่างขึ้น..ในความมืดมนของบรรยากาศแห่งสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ..แต่ด้วยใจอันบริสุทธิ์..การชำระล้าง..อันมีสีสันย่อมเกิดขึ้นจากดวงใจสู่ดวงใจ..เป็นภาพวาดของความงามตระการ...ที่รายล้อมไปด้วยความตื่นตระการ..สืบไป..รับนิรันดร์..

“ด้วยการเริ่มต้นทำเซลฟ์ การ์เดนนิ่ง..ด้วยการลงมือทำสวนด้วยตัวเอง..ฉันตั้งใจแล้วว่า จะฟูมฟักต้นไม้ที่ชื่อ “ฉัน”..ให้ได้..”