กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบชก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ, พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป., พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ, พ.ต.ท.สมเดช สาระบรรณ์, พ.ต.ท.ธนศักดิ์ สว่างศรี, พ.ต.ท.อภิชน ขันกา และ พ.ต.ท.พชรเดช บุญฤทธิ์ รอง ผกก.1 บก.ป.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.ต.มณเฑียร ธงเทียน สว.กก.1 บก.ป., ร.ต.อ.อาทิตย์ ศุภนคร รอง สว.(ป.) กก.1 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป. ร่วมกันจับกุม นายศักดาฯ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 3918/2566 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม และร่วมกันฉ้อโกง” บริเวณลานจอดรถ ท่ารถตู้ต่างจังหวัดรังสิต ทางคู่ขนาน ถนนพหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
 
พฤติการณ์ ก่อนเกิดเหตุเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2560 – กรกฎาคม 2561 นางสาวสุภัควิณี ฯผู้ต้องหาที่ 1 และนายรัฐธรรมนูญฯ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นตัวแทนขายประกันของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ได้เสนอขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้กับลูกค้าทั่วไป ในการเสนอขายผลิภัณฑ์ ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้ร่วมกันเสนอโครงการประกันออมทรัพย์พิเศษ ให้กับลูกค้าจำนวนหลายราย โดยอ้างว่าจะได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี และยังได้รับความคุ้มครองเมื่อเสียชีวิต 3 เท่าของเงินฝาก ซึ่งโครงการออมทรัพย์พิเศษข้างต้นไม่มีอยู่จริง ด้วยผลตอบแทนและความคุ้มครองที่สูง ทำให้มีลูกค้าหลายรายหลงเชื่อ ซื้อประกันดังกล่าว เมื่อตกลงทำประกันแล้ว ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสมุดรับฝากเงินที่ปรากฎตราสัญญาลักษณ์ และลายมือชื่อผู้บริหารบริษัทดังกล่าว ขึ้นมาทั้งฉบับ ส่งมอบให้กับลูกค้า ซึ่งมีลูกค้าหลายรายได้ชำระทุนประกันออมทรัพย์พิเศษข้างต้นนั้น ให้กับผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ด้วยเช็คสั่งจ่าย ซึ่งยอดเงินเหล่านั้น ไม่ได้ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทฯ แต่อย่างใด ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 กลับนำเช็คเหล่านั้นเก็บไว้


กรณีที่ 2 มีลูกค้ารายหนึ่งได้ทำประกันชีวิตกับ บริษัทดังกล่าว ผ่านผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 เมื่อลูกค้าผู้เอาประกันได้เสียชีวิตลง ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อของลูกค้าในเอกสารใบคำขอเอาประกัน เอกสารถ้อยแถลงของผู้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และเอกสารการขอรับเงินค่าสินไหม จากบริษัทฯ โดยมีผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 เป็นผู้ดำเนินการรับสินไหมแทนผู้รับผลประโยชน์ เมื่อบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนจากการเสียชีวิตของผู้เอาประกัน โดยออกเป็นเช็คเงินสดของธนาคารกรุงไทย  จำนวน 7,880,221 บาท ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้เก็บเช็คดังกล่าวไว้ และออกเช็คให้กับผู้รับผลประโยชน์เพียง 3,000,000 บาท โดยที่ผู้รับผลประโยชน์ไม่ทราบรายละเอียดกรรมธรรม์


ต่อมานายศักดาฯ ผู้ต้องหาที่ 3(ผู้ต้องหาคดีนี้) ได้ยื่นใบคำขอเอาประกัน โดยหลอกลวงนำเช็คชำระเงินดังกล่าวที่ผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 หลอกลวงให้บริษัทดังกล่าวเคยสั่งจ่ายให้กับลูกค้าข้างต้น นำมาชำระค่าเบี้ยประกัน ต่อมานายศักดาฯ ได้ขอยกเลิกการสัญญาประกัน โดยอ้างว่า จะต้องนำเงินประกันข้างต้นไปสร้างบ้าน และขอรับเงินค่าเบี้ยประกันที่ชำระไว้จำนวน 7,880,221 บาท เมื่อบริษัทพิจารณาอนุมัติแล้ว ได้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของ นายศักดาฯ ภายหลัง นายศักดาฯ ได้โอนเงินไปยังบัญชีของผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 7,880,406 บาท และมีการแบ่งผลประโยชน์กันระหว่างผู้ต้องหาที่ 1-3 เป็นเหตุให้บริษัทดังกล่าวได้รับความเสียหาย เนื่องจากหลงเชื่อส่งมอบเงินให้กับนายศักดาฯรวมเป็นเงินจำนวน 7,880,221 บาท ทั้งนี้บริษัทฯ ไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาทั้ง 3 รายได้ จึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษมอบคดีต่อพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 รายไว้


จากการสืบสวนทราบว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ผู้ต้องหารายที่ 1 และ 2 ได้เดินทางหลบหนีไปประเทศเกาหลีใต้ อยู่ระหว่างประสานงานตำรวจสากลออหมายแดง ส่วนผู้ต้องหารายที่ 3 ทราบว่า หลบหนีมาประกอบอาชีพรับจ้างขับรถส่งผู้โดยสารจากกรุงเทพฯ - บางแสน จ.ชลบุรี ใช้วิถีชีวิตใหม่ อยู่ห่างไกลจากภูมิลำเนาเดิม เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. เฝ้าติดตามและสังเกตการณ์อยู่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตได้สังเกตเห็นบุคคลที่มีตำหนิรูปพรรณตรงกับ นายศักดาฯ กำลังขับรถส่งผู้โดยสารมุ่งหน้าออกนอกเมืองไปทางรังสิต จึงได้ติดตามสะกดรอย จนสามารถจับกุมผู้ต้องหารายนี้ได้ที่บริเวณลานจอดรถ ท่ารถตู้ต่างจังหวัดรังสิต ทางคู่ขนาน ถนนพหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหามาทำบันทึกการจับกุมที่ห้องชุดปฏิบัติการที่ 1-7 ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา